Recommend

Recent Posts

IMAGE February 2014

IMAGE Magazine vol.27 no.2 February 2014 METAPHORIC Model ญาดา วิลลาเรจ, พิติ ชินสำราญ & ณัฐกฤต เกษตรภิบาล Stylist Benyada Pruedihinalin Photographer Punsiri

แพรว 827 : สินจัย เปล่งพานิช & ฉัตรชัย เปล่งพานิช

แพรว Praew Magazine vol. 35 no. 827 February 2014 ‘ธงชาติ’ และเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ ของความเป็นไทย เราจึงยืนตรงเคารพธงชาติ เพื่อความเป็นเอกราชของบรรพบุรุษไทย Model สินจัย เปล่งพานิช และ ฉัตรชัย

ชีวิตเมื่อปลายสงครามมหาเอเชียบูรพา

ชุดทางไปสู่จวน

ชีวิตเมื่อปลายสงครามมหาเอเชียบูรพา

ปัญญา ฤกษ์อุไร

เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ อันเป็นปีที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ กําลังจะยุติ ข้าพเจ้าติดตามพ่อไปศึกษาอยู่โรงเรียนประจําอําเภอปากพนัง ซึ่งเป็นโรงเรียนรัฐบาลชาย สมัยนั้นการศึกษายังไม่พัฒนาเหมือนสมัยนี้ โรงเรียนชายกับโรงเรียนหญิงแยกกันเด็ดขาด ในชั้นมัธยม ๑ ถึง ๖ จะไม่มีการเรียนร่วมกันแบบสหศึกษา โรงเรียนชายก็เรียกว่าโรงเรียนรัฐบาลชาย ส่วนโรงเรียนหญิงก็แยกว่าโรงเรียนสตรีประจําอําเภอหรือไม่ก็โรงเรียนสตรีประจําจังหวัด ครูชายสอนโรงเรียนชายครูหญิงสอนโรงเรียนสตรี สําหรับโรงเรียนสตรีในสมัยนั้นทางกระทรวงศึกษา ฯ อนุญาตให้มีผู้ชายได้ ๒ คน คือ ครูพละคนหนึ่งและภารโรงอีกคนหนึ่งเท่านั้น

ความจริงข้าพเจ้าเกิดที่อําเภอพระนคร จังหวัดพระนคร ตําบลสําราญราษฎร์ตรงประตูผี แต่เนื่องจากพ่อเป็นครูและพ่อเป็นชาวสุราษฎร์ธานีโดยกําเนิด พ่อเลยหอบหิ้วข้าพเจ้าไปปักษ์ใต้ด้วย เพราะพ่อย้ายไปรับราชการที่อําเภอปากพนังจังหวัดนครศรีธรรมราช ข้าพเจ้าไปเริ่มเรียน ม. ๑ จนจบ ม. ๖ ที่โรงเรียนปากพนัง จนคนที่นั่นเข้าใจว่าข้าพเจ้าเป็นเด็กปากพนัง

ปีที่ข้าพเจ้าจะจบ ม. ๖ นั้นเป็นปี พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็นปีซึ่งข้าพเจ้าต้องประสบกับความตื่นเต้นที่สุดในชีวิต

เดือนมีนาคม ๒๔๘๘ ผลการสอบ ม. 5 ประกาศ ข้าพเจ้าเข้าสอบได้กับเขาคนหนึ่งรู้สึกดีใจมาก แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกมีปัญหาชีวิตเข้ามาให้ขบคิดหลายเรื่องหลายราวอยู่เหมือนกัน ปัญหาบางอย่างเราอาจแก้ไขด้วยตนเองได้ แต่ปัญหาบางอย่างเป็นเรื่องยากต้องอาศัยพ่อแม่หรือญาติพี่น้องช่วยแก้ไข

ข้าพเจ้าเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ๆ หนังสือของพ่อในตู้กี่เล่มข้าพเจ้าอ่านหมด โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตและคติชีวิต มีสุภาษิตอังกฤษอยู่บทหนึ่งว่า “โลกจะหลีกทางให้เราเสมอถ้าเรารู้ว่าเราจะไปทางไหน”

เมื่อจบ ม. ๖ เกิดปัญหาในใจข้าพเจ้าสองประการ คือประการแรกจะไปเรียนต่อชั้นเตรียมอุดมเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย ประการที่ ๒ ออกทํางานเป็นเสมียนหรือครูประชาบาล

ประการแรกต้องอาศัยพ่อเพราะต้องไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ถ้าพ่อไม่ส่งเงินให้ก็ไม่สามารถไปเล่าเรียนต่อได้ อย่างน้อยพ่อจะต้องส่งเงินให้เดือนละ ๒๐๐.-บาท จึงจะเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ ได้

สําหรับประการที่สองนั้นไม่มีปัญหาเพราะพ่อมีเพื่อนมากจะฝากเข้าไปเป็นเสมียนอําเภอหรือเป็นครูประชาบาลก็ได้ไม่ยากนัก

ข้าพเจ้าได้นําเรื่องนี้ เข้าหารือพ่อในตอนเช้าวันหนึ่งเมื่อพ่อถามว่า “จบ ม. 6 แล้ว แกจะทําอะไร”

“ผมอยากจะไปเรียนเตรียมธรรมศาสตร์” ข้าพเจ้าได้โอกาส

“แกจะเอาเงินที่ไหนไปเรียน ?”

“ก้อให้พ่อส่งให้เดือนละ ๒๐๐.- บาท”

“ไม่ได้หรอกลูกเงินเดือนพ่อเดือนละ ๑,๐๐๐.- บาท พอสิ้นเดือนหักค่าโน่นค่านี่ ค่าข้าวค่ากับ ค่าเหล้ายาปลาปิ้งก็เหลือไม่ถึง ๒๐๐.- บาท สักเดือน และมีน้องต้องเรียนหนังสืออีกคนจะทํายังไง พ่อว่าสู้ไม่ไหวแน่อย่าเรียนเลยลูก….”

อนาคตและความฝันหวานเรื่องไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ หล่นลงไปกองอยู่ที่พื้น ข้าพเจ้าใจหายวูบ

“เลิกฝันเลิกคิดเรื่องเรียนต่อเสียเถอะลูก เรามันเกิดมาจนก็ต้องอยู่อย่างคนยากจน ต้องยอมรับสภาพความจริงเลิกทะเยอทะยานใฝ่ฝันจนเกินตัวเสียทีเถิดลูกเอ๋ย พ่อเป็นครูชั้นตรีลูกอย่างมากก็เป็นได้แค่เสมียนอําเภอ เพราะฐานะทางการเงินของเรานั้นจํากัดอยู่อย่างนี้ โปรดเห็นใจพ่อบ้าง “พ่อพยายามพูดปลอบใจข้าพเจ้าไม่ให้เสียอกเสียใจมากนัก

จริงหรือที่ว่าพ่อจนแล้วลูกต้องจนด้วย…..จริงหรือที่ว่าพ่อเป็นครูตรีแล้วลูกจะเป็นได้อย่างมากแค่เสมียนอำเภอ….ทฤษฎีอะไรกันไม่น่าเชื่อถือและไม่น่าจะเป็นไปได้ ข้าพเจ้ามีความคิดเห็นแย้งกับพ่อแต่ก็ไม่กล้าแสดงออกหรือพูดให้พ่อรู้ การที่เราเชื่อว่าถ้าเราจนลูกก็ต้องจนด้วย ถ้าเราอยู่สลัมลูกเราก็ต้องอยู่สลัมไม่มีวันจะอยู่คฤหาสน์ใหญ่โตได้ ถ้าพ่อเป็นข้าราชการผู้น้อยลูกไม่มีโอกาสเป็นเจ้าเมืองหรืออธิบดี ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นความคิดที่เหลวไหลและไร้เหตุผล แต่ที่พ่อพูดอย่างนั้น อาจจะเป็นเพราะต้องการจะหว่านล้อมให้ข้าพเจ้าทํางานแทนที่จะเรียนต่อมากกว่า เพราะเหตุประการเดียวคือพ่อไม่มีเงินจะส่งเสีย

บังเอิญปีนั้นทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และจุฬา ฯ ยังปิดอยู่ เนื่องจากสงครามยังไม่ยุติ ข้าพเจ้าก็เลิกล้มความคิดที่จะเรียนต่อชั่วคราว

พ่อพาข้าพเจ้าไปฝากนายอําเภอเข้าเป็นเสมียน นายอําเภออายุประมาณ ๔๕ ปี เป็นเพื่อนพ่อเห็นกินเหล้าด้วยกันกับพ่อบ่อย ๆ ใจดี พอพ่อพาไปฝากก็รับไว้

“อายุเท่าไรแล้วไอ้หนู” นายอําเภอถามข้าพเจ้า

“๑๖ ปี ครับ”

“อายุยังน้อยยังบรรจุเป็นข้าราชการไม่ได้ ต้องอายุครบ ๑๘ ปีเสียก่อน แต่เอาเถอะพ่อเอ็งกับอาเป็นเพื่อนกันจะรับไว้เป็นเสมียนฝึกหัดกินเงินค่าคําร้องรายวันไปก่อน ๒ ปี พออายุครบแล้วค่อยสอบเข้าเป็นเสมียนสามัญ” นายอําเภอพูดเรื่อย ๆ พลางมองข้าพเจ้า

“แล้วแต่นายอําเภอจะกรุณาเถอะครับ ความจริงมันอยากจะเรียนต่อ แต่ผมมันขัดข้องเรื่องเงินเลยต้องเอามันมาฝากงานกับนายอําเภอ” พ่อข้าพเจ้าว่า

“เอาเถอะแล้วผมจะดูแลเอง” นายอําเภอพูด

“ผิดชอบชั่วดีอะไรก็สั่งสอนมันเข้าไปเถอะครับ คิดว่ามันเป็นลูกหลานของท่านก็แล้วกัน” พ่อพยายามพูดฝากฝั่งข้าพเจ้ากับนายอําเภอ

“การทํางานเป็นเสมียนรับจ้างไม่ยากอะไรเพราะไม่มีความรับผิดชอบอะไรมากนัก ส่วนใหญ่เขียนคําร้องให้แก่ประชาชนผู้มาติดต่อ อํานวยความสะดวกให้แก่เขาและเขาก็ให้ค่าตอบแทนหรือค่าเขียนคําร้อง ๒ บาท ตามระเบียบว่าด้วยค่าธรรมเนียมอําเภอ ไม่อนุญาตให้เรียกค่าเขียนคําร้องเกิน ๒ บาท แต่ไม่แน่บางทีพวกไอ้เณรของผมมันเขกเขาตั้ง ๑๐-๒๐ บาท ก็มี ร้องเรียนกันอยู่บ่อย ๆ แต่ถ้าเรuยกเขา ๒ บาท แล้วไม่มีปัญหาอะไร สําคัญอยู่ที่เราต้องมีใจเมตตากรุณากับราษฎร อย่าไปขูดรีดเขาอย่างเด็ดขาด ผมไล่ออกไป ๒-๓ คน แล้ว พวกเสมียนจ้างที่เรียกค่าคําร้องเขามาก ๆ เกินกว่าเหตุ” นายอําเภอขนาบ ข้าพเจ้าไปในตัว

“ถ้ามันทําผิดทําถูกอย่างไรก็กรุณาแนะนําตักเตือนมัน ไปเถิดนึกว่าเอาบุญ” พ่อพูดกับนายอําเภอพร้อมลากลับ

ขณะเดินกลับบ้านพ่อได้สั่งสอนข้าพเจ้าให้ประพฤติตนให้ดี ตั้งใจทํางาน พออายุครบ ๑๘ ปี หรืออีก ๒ ปีข้างหน้าเขาจะมีการสอบเสมียนสามัญที่ศาลากลางจังหวัดพ่อมีพรรคพวกอยู่ทางแผนกศึกษาธิการจังหวัดหลายคนพอจะไปฝากฝังได้ไม่ยากนักขอให้อายุครบเสียก่อนเถิด ถ้าใด้เข้าเป็นเสมียนมหาดไทยแล้ว พออายุราชการครบ ๕ ปี ก็มีสิทธิ์สอบชั้นตรีได้ ตอนนี้ถ้าแกสอบได้ก็จะได้เป็นปลัดอําเภอตรีและเป็นหนทางที่จะได้เป็นนายอําเภอต่อไป

พ่อข้าพเจ้าพูดเรื่องนี้ไปตลอดทางเพื่อให้ข้าพเจ้าลืมเรื่องการไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ แต่ข้าพเจ้าหาลืมไม่กลับครุ่นคิดไปตลอดเวลาหากเป็นไปตามแผนที่พ่อวางไว้จริงตามที่ได้คาดหมายไว้ก็ต้องใช้เวลาถึง ๗ ปี คือเป็นเสมียนจ้าง ๒ ปี พออายุครบ ๑๘ ก็สอบเข้าเป็นเสมียนมหาดไทย ๕ ปี จึงได้เป็นปลัดอําเภอชั้นตรีหมายความว่าถ้าสอบเสมียนจัตวาได้และสอบชั้นตรีได้ตามที่กะกันไว้แต่จะเอาความแน่นอนที่ไหน เพราะลูกท่านหลานเธอทางจังหวัดก็มีอยู่ไม่น้อย เราเป็นแต่ลูกครูจน ๆ คนหนึ่งจะมีหนทางเป็นไปได้อย่างไร

ข้าพเจ้าคิดๆ แล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่พ่อเหลียวมาดูคงจะสงสัยแต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไร

คืนนั้นข้าพเจ้านอนไม่หลับคิดถึงชีวิตของตนที่เกิดมาอาภัพมีแต่ความขัดสนข้นแค้น แม้แต่จะไปเรียนต่อก็มีอุปสรรคขวากหนามเต็มไปหมด ยากที่จะบรรลุเป้าหมายตามที่ตนคิดไว้ คิด ๆ จนหลับไปเมื่อค่อนรุ่ง

ตื่นมาตอนเช้าไม่รู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างใดที่ได้ไปเป็นเสมียนจ้างที่อําเภอ ทั้งนี้เพราะฐานะของเสมียนจ้างนั้นในสายตาของคนทั่วไปถือว่าเป็นลูกจ้างธรรมดา ไม่ได้รับการยกย่องนับถือจากผู้ใดทั้งสิ้น แถมราษฎรที่มาติดต่อหรือข้าราชการชั้นเสมียนอําเภอเขามักจะเรียกพวกเสมียนจ้างว่า “ไอ้ลูกเหมียน” ความจริง “ลูกเหมียน” ก็คือลูกเสมียนหรือเสมียนผู้น้อยนั่นเอง แต่ชาวปักษ์ใต้เขาเรียกสั้น ๆ ว่า “ลูกเหมียน” เขาไม่นิยม “ออกเสียงสระอะ” เช่นมะขามเขาก็เรียกส้มขาม มะม่วงเขาก็เรียกส้มม่วง ปากพนังเขาก็เรียกว่าปากนัง เป็นต้น
ปีนั้นธรรมศาสตร์ ไม่เปิดรับเตรียมปริญญาเพราะสงครามยังไม่ยุติทําให้ความกระวนกระวายของข้าพเจ้าที่อยากจะเรียนต่อหมดไปโดยปริยาย เพราะเมื่อธรรมศาสตร์ จุฬาฯ ไม่เปิดรับแล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปเรียนต่อที่ไหน เพราะสมัยนั้นมหาวิทยาลัยที่ดัง ๆ มีอยู่ ๒ แห่งเท่านั้น มหาวิทยาลัยรามคําแหงก็ยังไม่เปิด

ปัญญา ฤกษ์อุไร - ชีวิตเมื่อปลายสงครามมหาเอเชียบูรพา

หนังสือต่วย'ตูน เดือนมกราคม ๒๕๒๓ ปีที่ ๙ เล่มที่ ๕

Share:

Facebook
Twitter
Pinterest
LinkedIn

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Photobook

Highlight

Back Issues

On Key

Related Posts

หมาเจ้าเมือง

หมาเจ้าเมือง ร.ต.พิมล สุวรรณสุภา อันว่าบุญวาสนาของสัตว์โลก ทั้งผองจะเจริญขึ้นหรือเสื่อมลงนั้น ย่อมเป็นไปตามกฎแห่งกรรมของตนเองทั้งสิ้น ก่อกรรมใดที่ไม่ถูก กาลเทศะ, โลภโมโทสัน หรือเหิมเกริมจนลืมตนก็จะเป็นเหตุปัจจัยฉุดรั้งให้ต่ำลง แทนที่จะช่วยดึงให้สูงขึ้น สัจธรรมข้อนี้ผมได้มาจากชีวิตของ

จากน้ํามันถึงปลาทู

จากน้ํามันถึงปลาทู ยุติพงษ์ ตั้ง เมื่อพูดถึงการค้าระดับประเทศรอบ ๆ มหาสมุทรแปซิฟิกใต้ หรือนัยหนึ่งการตั้งตัวเป็นนายหน้าให้สินค้าผ่านมือไปสู่ประเทศคู่ขา ใครไม่รู้จักสิงคโปร์ก็บ้าแล้ว เมื่อสวัสดีกับเมืองโชนันในอดีตแล้ว ก็น่าจะเลยไปสัมผัสมือกับโก๊ะจกตง ทายาทมือระดับพระกาฬของลีกวนยิวไว้หน่อยก็จะดี อย่างน้อยก็ในฐานะของผู้สืบสายเลือดคนแรกที่ได้รับการถ่ายทอดวิทยายุทธ์ในสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์อย่างครบถ้วนทุกกระบวนท่า

รบกับเจ็ก

รบกับเจ็ก ประสงค์ บานชื่น ทางสื่อมวลชน เช่นวิทยุ โทรทัศน์ (เอ๊ย, ยังไม่มี) และหนังสือพิมพ์ ว่า “เชื่อผู้นําชาติพ้นภัย” “มาลานําไทยสู่มหาอํานาจ”

มวยแขก

ชุดแขกอมยิ้ม มวยแขก ชัยชนะ โพธิวาระ คุยกับแขกไม่ว่าเรื่องใดก็ตามอาบังแกต้องมีเรื่องมาเกทับคู่สนทนาอยู่เสมอ เช่นคุยถึงเรื่องรถแขกเขาต้องบอกว่ารถที่ผลิตในอินเดียแข็งแกร่งที่สุด รูปร่างที่สวยงาม แถมชื่อยังไพเราะซะด้วยคือยี่ห่อแอมบาสดอร์ ยิ่งมอเตอร์ไซค์ยิ่งชื่อเพราะใหญ่คือยี่ห้อ YEZDEE ถ้าคุยถึงเรื่องพระเจ้าบังแกก็จะคุยจนน้ําลายฟูมปากอีกนะแหละว่าอินเดียเป็นดินแดนของพระเจ้าและมีพระเจ้าอยู่ที่นี่มากที่สุด เรียกว่าคุยเรื่องไหนมาแขกเป็นคุยทับไปได้อย่างสบาย

“โอฬาร” – หนังสือหัวเตียง

หนังสือหัวเตียง “โอฬาร” เมื่อเดือนก่อนมีนักเขียนชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งแวะมาหาผมที่สํานักงาน “สตูดิโอ เท็น” ถนนอรรถการประสิทธิ์ ตอนนั้นสิบโมงเช้าแล้ว ผมกําลังนั่งดูเพื่อนฝูงเขาตัดต่อภาพยนตร์สารคดีท่องเที่ยว ชุด “ชีพจรลงเท้า” อยู่ นักเขียนชาวฝรั่งเศสผู้นั้นยังหนุ่มอยู่

ยาหมอเยิ้ม

ยาหมอเยิ้ม บุญยู้ ภูพาน ป่าที่พวกเราไปตัดทางสายใหม่ผ่านนั้น ล้วนแต่ภูเขาสูงชันติดกันเป็นพืด อุดมสมบูรณ์ด้วยไม้สักต้นกําลังเหมาะ ที่จะผลิตเป็นไม้เถื่อนได้อย่างสบาย ทั้งสักทอง, สักขี้เป็ด เขียวชะอุ่มในหน้าฝนและโกร๋นใบในหน้าแล้ง เซอร์เวย์เป็นชุดแรกที่บุกป่าเข้าไปสํารวจแนวก่อสร้างตามแบบ หน่วยเคลียริ่งตามเข้าไปถางป่าออกก่อนที่แทรกเตอร์จะเข้าไปขุดตอ