ชีวิตเสมียนจ้าง-บัญชีผี

ชุดทางไปสู่จวน

ชีวิตเสมียนจ้าง-บัญชีผี

ปัญญา ฤกษ์อุไร

วันนั้นเป็นวันจันทร์ตอนต้น ๆ เดือน ข้าพเจ้าไปอําเภอแต่เช้า เพราะเป็นวันที่นายอําเภอให้ข้าพเจ้าไปเริ่มทํางานเป็นเสมียนจ้างได้ เมื่อข้าพเจ้าไปถึงอําเภอนั้นเป็น เวลาแปดโมงเศษ ๆ ข้าราชการบนอําเภอยังไม่มี คงมีแต่ภารโรงทําหน้าที่ปัดกวาดเปิดประตูหน้าต่างกันอยู่อย่างสบายอารมย์

สมัยนั้นข้าราชการทํางาน ๙ โมงเช้า เลิก ๔ โมงเย็น หรือ ๙.๐๐ น. ถึง ๑๖.๐๐ น. วันเสาร์ทํางานครึ่งวัน คือตั้งแต่ ๓ โมงเช้าถึงเที่ยง ไม่ใช่เข้า ๘.๓๐ น. และเลิก ๑๖.๓๐ น. เหมือนอย่างทุกวันนี้

ที่อําเภอมีป้ายคําขวัญของ พณฯ ท่านจอมพล ป. อยู่หลายแผ่นเช่น “เชื่อผู้นําชาติพ้นภัย” “มาลานําไทยไปสู่มหาอํานาจ” เช้า ๆ ทุกเช้าจะได้ยินเสียงเพลงไก่แก้วขานขันแสงจันทร์สิ้นแสง……ท้องฟ้าสีแดงพระอาทิตย์เริ่มฉาย…..ตื่นเถิดชาวไทย เราอย่าง่วงเหงาหลับสบาย….การงานมากหลายเราต้องรีบลุกขึ้นทํา…บ้านเมืองจะเรืองรุ่งเพราะไทยมุงใจจดจํา…..ว่าชาวไทยจะต้องทําประเทศไทยให้เจริญ”

“บางครั้งก็สลับด้วยเพลงตื่นเถิดชาวไทย อย่าหลับไหลลุ่มหลง ชาติจะเรื่องดํารงค์ก็เพราะเราทั้งหลาย ถ้ามัวหลับมัวหลงเราก็คงละลาย เราต้องเร่งขวนขวาย ตื่นเถิดชาวไทย” เพลงเหล่านี้เป็นเพลงปลุกใจในสมัยนั้น ซึ่งเนื้อร้องส่วนใหญ่มาจากบทประพันธ์ของคุณหลวงวิจิตรวาทการ

สมัยข้าพเจ้าเป็นเด็ก ๆ ได้ยินเพลงเหล่านี้แล้วรู้สึกคึกคักตื่นเต้น เป็นเพลงเร้าใจให้เกิดความรักชาติบ้านเมืองไม่น้อย ซึ่งยังจําเนื้อร้องเหล่านี้ได้จนกระทั่งบัดนี้ ต่างกับเดี๋ยวนี้ตื่นขึ้นมาถ้าไม่ได้ยินเสียง บ่ม ๆ ๆ กลั่น ๆ ๆ แล้วก็อาจได้ยินเสียงเพลงดิสโก้ให้ฟังสลับกันไป จะเป็นการปลูกฝังเด็กให้รักชาติมากหรือน้อยอย่างไรก็คิดดูกันเอาเองเถิด

ข้าราชการอําเภอส่วนใหญ่ ยังมัวดื่มกาแฟคุยกันเสียงเฮฮาอยู่ที่ร้านโกเข่ง ซึ่งเป็นร้านกาแฟร้านเดียวข้างอําเภอที่หากินกับข้าราชการบนอําเภอ และประชาชนที่มาติดต่อราชการบนอําเภอ

บรรดาเรื่องที่คุยกันก็มีมากมายหลายเรื่อง นับตั้งแต่กิจการบ้านเมือง ข่าวประจําวัน และที่สุดก็นินทานายอําเภอบ้าง นินทาปลัดอําเภอบ้าง ตามธรรมเนียมของข้าราชการทั่วไปมักจะสรุปลงตรงที่นินทานายเสียเป็นส่วนใหญ่

ประชาชนเริ่มทะยอยกันมาติดต่อกับอําเภอเพิ่มขึ้นและมานั่งจับเจ่ารออยู่ใต้ถุนอําเภอเพิ่มขึ้นทุกที ประชาชนส่วนใหญ่มาจากอําเภอที่ห่างไกล เช่น ตําบลปากแพรก ตําบลท่าพระยา ตําบลแหลมตะลุมพุก เป็นต้น จึงต้องรีบมาแต่เช้าเพื่อจะรีบติดต่องานอําเภอให้เสร็จก่อนเที่ยง จะไปตลาดซื้อของกินของใช้แล้วก็เดินทางกลับบ้าน เพราะไม่มีบ้านญาติที่จะค้างคืนที่ตัวอําเภอได้ ถ้าทําธุระไม่เสร็จในวันเดียวก็ต้องค้างโรงแรมค่าโรงแรมคืนละ ๑๕-๒๐ บาท ซึ่งก็เป็นเงินไม่น้อยสําหรับชาวไร่ชาวนาจน ๆ ในสมัยนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าเขาสามารถทําธุระทางอําเภอเสร็จเร็วเท่าไรเขาจะดีใจมากเท่านั้น ข้อนี้เป็นเหตุหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ข้าราชการอําเภอชั้นผู้น้อยรีดไถประชาชนที่ต้องการความสะดวกรวดเร็วได้ง่าย โดยรับเดินเรื่องให้เองและก็ได้เสร็จเร็วสมความตั้งใจ แต่ชาวไร่ชาวนาผู้มาติดต่ออําเภอต้องเสียเงินถึง ๒๐ บาท แทนที่จะเสียเพียง ๒ บาท เฉพาะค่าคําร้องเท่านั้น

พฤติกรรมเช่นว่านี้ไม่ยุติธรรมเลย สําหรับชาวไร่ชาวนาผู้ต่ำการศึกษา และไม่รู้วิธีการติดต่อกับราชการบนอําเภอและส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือ แต่ก็เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเชื่อวันยังไม่มีใครแก้ไขให้เด็ดขาดได้ อย่าว่าแต่อําเภอชั้นนอกห่างไกลปืนเที่ยงเลย แม้แต่ที่ทําการเขตต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ ก็เถอะ เรื่องอย่างนี้ก็อาจจะเกิดขึ้นได้เสมอ กรมมหาดไทยในสมัยนั้น และแม้แต่กรมการปกครองในสมัยนี้ก็ได้พยายามแก้ไขปรับปรุงตลอดมา แต่ก็เป็นเรื่องยากเพราะอยู่ที่คนและน้ําใจของคนที่เป็นข้าราชการบนอําเภอ ถ้าเขาปราศจากความเห็นใจประชาชนผู้ยากไร้เสียแล้ว ก็ยากที่จะไปควบคุมเขาได้ เพราะเจ้านายไม่ได้ควบคุมเขาอยู่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ฉะนั้นความใจดีใจร้ายความเมตตาหรือความทารุณต่อเพื่อนมนุษย์ตาดําๆ ก็สุดแต่บรรดาข้าราชการเหล่านั้นจะเป็นผู้หยิบยื่นให้ สวรรค์กับนรกอยู่ใกล้กันแค่เอื้อม แล้วแต่ว่าเขาจะเลือกเดินไปทางใด

ข้าพเจ้าไปนั่งรอนายอําเภออยู่จนถึงเวลาประมาณเก้าโมงเศษ ๆ นายอําเภอก็มา ข้าพเจ้าเดินตามหลังขึ้นไปบนอําเภอเสียงจ๊อกแจกจอแจเงียบหายไปในบัดดล

นายอําเภอสมัยนั้นมีอํานาจมาก อํานาจทั้งหมดอยู่ที่นายอําเภอ รวมทั้งอํานาจการสอบสวนคดีอาญาด้วย เพราะฉะนั้นการที่ตํารวจจะตั้งบ่อนคุมซ่องค้าเฮโรอีน หรือรีดไถประชาชนเหมือนอย่างสมัยนี้ทําได้ยาก เพราะถ้ามีคดีร้องเรียนเกิดขึ้น ทางอําเภอเป็นผู้สอบสวน ตํารวจก็เกรงกลัวเพราะไม่มีใครช่วยเหลือ ไม่เหมือนอย่างสมัยนี้ซึ่งตํารวจจะทําอะไรก็ได้ทั้งนั้น ถ้าหากมีเรื่องร้องเรียนขึ้นมาพอดีพอร้าย เจ้านายทางตํารวจก็ต้องช่วยลูกน้องเอาไว้ก่อนเป็นเหตุให้ตํารวจได้ใจ ไม่ค่อยจะเกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง ทําอะไรตามอําเภอใจตัว ไม่มีหน่วยงานที่จะควบคุมตํารวจอีกต่อหนึ่ง นอกจากผู้บังคับบัญชาตํารวจซึ่งก็ย่อมช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ผลที่สุดตกหนักแก่ราษฎร เรียกได้ว่าไพร่ฟ้าหน้ามืด ไม่ใช่ไพร่ฟ้าหน้าใสดังแต่ก่อน

สมัยนั้นยังไม่มีระบบตามกันอเมริกัน หรือที่เราเรียกกันโก้โก้ว่าระบบ พี.ซี. ที่ผู้สําเร็จปริญญาออกมาติด ๒ ขีดใหญ่ป๋อ กินเงินเดือน ๒-๓ พันบาท แต่เป็นระบบชั้นเอก โท ตรี จัตวา นายอําเภออย่างมากก็แค่ชั้นโท ปลัดอําเภอโทสมัยนั้นยังไม่มี รองจากนายอําเภอก็ถึงปลัดอําเภอตรีและปลัดอําเภอจัตวา ซึ่งถ้านายอําเภอและปลัดอําเภอตรีไม่อยู่ก็มีอํานาจเท่ากับนายอําเภอทุกประการ

อําเภอที่มีนายอําเภอเป็นข้าราชการชั้นเอกมีเพียงไม่กี่อําเภอ เฉพาะที่มีศาลจังหวัดตั้งอยู่เท่านั้น เท่าที่ทราบก็มี อําเภอภูเขียว อําเภอธัญญบุรี อําเภอแม่สอด อําเภออรัญประเทศ อําเภอปากพนัง อําเภอเบตง อําเภอไชยา และอําเภอพะเยาว์เป็นต้น

ข้าพเจ้าเดินตามนายอําเภอเข้าไปในห้องทํางาน ท่านนั่งลงที่โต๊ะทํางาน พลางกดกริ่งเรียกเด็กหน้าห้องให้ไปตาม

ปลัดเชิดเข้ามา สักครู่หนึ่งปลัดเชิดเดินตัวคู้ ๆ เข้ามาหานายอําเภอ คํานับหนึ่งครั้ง นายอําเภอบอกให้นั่งลง

“ผมต้องฝากเด็กเสมียนจ้าง ให้ปลัดเชิดช่วยดูแล อบรมสั่งสอนด้วยสักคน เพราะพ่อเขาเป็นเพื่อนกับผม หวังว่าคุณปลัดคงจะเต็มใจช่วยเหลือตามสมควร”

“ขอรับกระผมเต็มใจอย่างยิ่งมีอะไรผมจะสั่งสอนว่ากล่าว”

“เด็กคนนี้มีแววฉลาดอยู่ไม่น้อย ถ้าคุณปลัดอบรมสั่งสอนดี ๆ อาจเป็นกําลังสําคัญต่อไปในภายภาคหน้า และอาจก้าวหน้าต่อไปในอนาคตได้ หากมีเหตุขัดข้องหรือมีปัญหาอย่างใด กรุณาบอกผมให้ทราบด้วยเพราะพ่อเขาฝากมา”

“ครับผม” ปลัดเชิดรับคําอย่างหนักแน่น

“ถ้าอย่างนั้นคุณปลัดพาหลานชายออกไปทํางานได้ตั้งแต่บัดนี้เลยทีเดียว” นายอําเภอสั่ง

“ครับผม” ปลัดเชิดรับคําอย่างแข็งขัน

ข้าพเจ้าเดินตามปลัดเชิดออกจากห้องนายอําเภอมาจนถึงระเบียงอําเภอหน้าห้องปลัดเชิด เห็นมีโต๊ะเล็ก ๆ ตั้งอยู่ ๆ ๒-๓ ตัวพร้อมเก้าอี้อีก ๒-๓ ตัว

“ตรงนี้แหละที่นั่งพวกเสมียนจ้างหรือพวกลูกเหมียน” ปลัดเชิดบอกข้าพเจ้า

“เอ็งต้องนั่งตรงนี้เวลามีราษฎรมาติดต่อ เอ็งต้องถามเขาว่ามาเรื่องอะไร ถ้าเกี่ยวกับการคัดสําเนาหรือขอใบสําคัญรับรองต่าง ๆ เอ็งต้องบอกให้เขาเขียนคําร้องเสียก่อน ถ้าไม่มีคําร้องเราไม่รับพิจารณาเพราะไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร เอ็งเข้าใจไหม ?” เขาถามข้าพเจ้า

“ถ้าเขาเขียนคําร้องไม่เป็นละครับ” ข้าพเจ้าสงสัย

“เอ็งก็เขียนให้เขาซิวะ ไม่อย่างนั้นแล้วเขาจะมีเสมียนจ้างหรือลูกเหมียนไว้หาอาวุธด้ามยาวอะไรล่ะ ?” ปลัดเชิด อธิบายพร้อมกับสําทับข้าพเจ้าไปด้วย

“เอ็งเขียนให้เขาแล้ว อย่าลืมเรียกค่าเขียนคําร้องไว้ ๒ บาท ค่าอากรแสตมป์ ๑ บาท รวม ๓ บาท แต่ถ้าเขาให้ใบละห้าหรือใบละสิบบาทมาเอ็งก็ทําเฉย ๆ เสีย ถ้าเขาไม่เอาเงินทอนเองก็ไม่ต้องทอน อ้างว่าเราไม่มีสตางค์ทอนก็ได้เอ็งเข้าใจไหม?” เขาแนะนํากลวิธีในการหาเงิน

“ไม่บาปหรือครับ ความจริงอากรแสตมป์แค่ ๒๐ สตางค์ เท่านั้น เราก็ไปเอาเขาตั้งบาท แถมเขาให้แบ้งค์ ๕ แบ้งค์ ๑๐ ยังไม่ยอมทอนอีก ผมคิดว่ามันไม่ยุติธรรมสําหรับคนบ้านนอกที่เขาโง่กว่าเรานะครับ” ข้าพเจ้าแย้ง

“อ้ายหน้าโง่ มัวแต่คิดถึงความยุติธรรมท้องเองก็แห้ง เอ็งจะเอาอย่างไรเลือกเอา” ปลัดเชิดอธิบายปรัชญาของเขา

“ถ้าเขาเกิดทักท้วงว่าอากรแสตมป์ ๒๐ สตางค์ ทําไมเอาเขาตั้งบาทแล้วเราจะแก้ตัวว่าอย่างไร” ข้าพเจ้าถาม

เราก็บอกว่าเราไม่มีเศษสตางค์ทอน ถ้าเขาจะเอาสตางค์ทอนให้ได้ ก็ให้เขาไปซื้อเอาเองที่แผนที่แผนกสรรพากรอําเภอ ซึ่งก็ต้องเสีย ๑ บาท เหมือนกัน เพราะเขาก็ใช้กุศโลบายอย่างเดียวกับพวกเรา ผลที่สุดเขาก็ต้องวิ่งมาหาเราจนได้ หมูจะต้องวิ่งเข้าเล้าเสมอจําไว้ไอ้หนู วันหนึ่งเมื่อเอ็งเป็นปลัดอําเภออย่างข้า เอ็งจะต้องเรียนรู้ เขาอธิบาย”

“ก็หมายความว่า เราจะหากินบนความโง่เขลาเบาปัญญาของผู้อื่นกระนั้นหรือ” ข้าพเจ้าชักไม่พอใจ

“แล้วแต่เอ็งจะคิด แต่ถ้าเอ็งมีจิตใจเมตตาปรานีคนยากจนและสงสารผู้อื่นจนทนไม่ไหวอย่างนี้ เอ็งต้องไปบวชไม่ต้องมาเป็นลูกเหมียนอําเภอให้เสียเวลา เพราะลูกเหมียนมีหน้าที่หาเงินเข้าอําเภอเป็นเงินกองกลาง เอ็งต้องเข้าใจและจดจําไว้เป็นเบื้องต้น เขาอธิบายต่อพลางมองหน้าข้าพเจ้าอย่างไม่สู้จะพอใจนัก

ข้าพเจ้าไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับคนคราวลุงคราวน้า ปลัดเชิดอายุ ๕๐ กว่า ทํางานมาตั้งแต่เป็นเสมียนจ้าง เสมียนสามัญและปลัดอําเภอจัตวา เขามีทัศนะคติอย่างหนึ่งซึ่งไม่ตรงกับข้าพเจ้า แต่การจะไปเถียงเขาไม่มีประโยชน์เพราะนายอําเภอมอบหมายให้เขาเป็นผู้ควบคุมดูแลข้าพเจ้าซึ่งก็เท่ากับเป็นผู้บังคับบัญชาข้าพเจ้านั่นเอง

ข้าพเจ้าหาได้ทําตามคําแนะนําของปลัดเชิดไม่ แต่กลับทําในทางตรงกันข้าม คือข้าพเจ้าเอาเงินส่วนตัวของข้าพเจ้าซึ่งมีอยู่ ๒ บาท ไปซื้ออากรแสตมป์ที่แผนกสรรพากรมา ๑๐ ดวง ๆ ละ ๒๐ สตางค์ เมื่อเขียนคําร้องเสร็จข้าพเจ้าก็เรียกเพียง ๒.๒๐ บาท ตามระเบียบที่กําหนดให้เท่านั้น ส่วนใหญ่เขาก็หาเศษสตางค์มาให้ข้าพเจ้าจนได้ วันต่อมาข้าพเจ้าไปแลกเศษสตางค์ที่คลังอําเภอแต่เช้า แลกเศษสตางค์ไว้เป็นจํานวนมาก เพื่อเอาไว้ทอนให้ลุงป้าน้าอาที่มาจากตําบล ไกล ๆ เพื่อเขาเหล่านั้นจะไม่เสียสตางค์มากกว่าที่จําเป็นต้องเสีย เพราะข้าพเจ้าเรียกค่าอากรแสตมป์เพียง ๒๐ สตางค์ และก็มีสตางค์ทอนเสมอ แถมบางคนไปเขียนคําร้องโต๊ะอื่นแต่มาขอซื้อแสตมป์โต๊ะข้าพเจ้า ก็มีบ่อยครั้งทำให้เสมียนจ้างอีก ๒ คน ขาดรายได้เท่าที่ควรจะได้โดยมิชอบไปวันละหลาย ๆ บาท

ด้วยเหตุนี้ต่อมามิช้ามินาน เรื่องจึงแดงขึ้นด้วยเสมียนจ้างอีก ๒ คนไปฟ้องปลัดเชิดว่า ข้าพเจ้าบ่อนทําลายขบวนการหาเงินจากการเขียนคําร้องของอําเภอ ทําให้รายได้ของ อําเภอตกต่ําลงไปมาก ข้าพเจ้าถูกปลัดเชิดเรียกตัวไปสอบสวนทันทีในตอนเช้าวันหนึ่ง

“เอ็งรู้ไหมว่าตั้งแต่เอ็งเข้ามาเป็นลูกเหมียนอยู่ที่นี่ เอ็งทําให้รายได้ของอําเภอตกต่ําลงไปมากมาย จนข้าพูดไม่ถูก” เขาบรรยายความคั่งแค้นออกมาให้ข้าพเจ้าฟัง

“ผมทําผิดคิดร้ายอะไรหรือครับ” ข้าพเจ้าแกล้งถาม

“เอ็งไม่ได้ทําผิดคิดร้ายอะไรหรอก แต่พฤติการที่เอ็งไปแลกเศษสตางค์ทอนก็ดี เอ็งไปซื้ออากรแสตมป์ก็ดีเป็นเรื่องที่เขาไม่ทํากัน และข้าก็ไม่เคยเห็นใครเขาทํากันมีแต่ เอ็งเท่านั้น” เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด

“ผมก็ไม่มีอะไรนะครับ นอกจากอยากจะอํานวยความสะดวกให้คุณลุงคุณป้าที่มาติดต่อให้เสร็จธุระเร็ว ๆ รีบกลับบ้านแต่วันและเสียเงินแต่น้อย ไม่ต้องเสียมากมายโดยไม่จําเป็น การอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่มาติดต่อเป็นนโยบายของรัฐบาลอย่างหนึ่งมิใช่หรือ” ข้าพเจ้าโต้ตอบไม่ลดละ

“นโยบายอะไรกันทางอําเภอเรามีภาระมาก มีแขกไปใครมาไม่เว้นแต่ละวัน ต้องเลี้ยงรับรองเจ้านายมาตรวจงานแต่ละครั้งก็หลาย ๆ สตางค์ นายอําเภอมอบให้ข้าเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้ ถ้าเอ็งขึ้นทําแบบนี้ข้ามิต้องล้มละลายหรือ” เขาต่อว่าข้าพเจ้าอย่างรุนแรง

“ถ้าเอ็งไม่หยุดขึ้นทําบ้า ๆ อย่างนี้อีก ข้าจะไล่เองออกเพราะเอ็งทําให้คนอื่น ๆ เขาพลอยกระทบกระเทือนไปด้วย” เขาขู่ข้าพเจ้า

ข้าพเจ้ามิได้รู้สึกเกรงกลัวแต่อย่างใดยังคงทําอย่างเดิมทุกประการ ยิ่งกว่านั้นในเดือนที่สองปรากฏว่ามีราษฎรที่มาติดต่อคอยติดต่อเฉพาะโต๊ะข้าพเจ้าเต็มไปหมด จนรอกันเป็นแถวยาว ส่วนเสมียนจ้างอีก ๒ คน นั่งหาวไม่ค่อยมีคนไปขอให้เขียนคําร้อง ทั้ง ๆ ที่ปลัดเชิดออกมาบอกหลายครั้งว่า เสมียนอีก ๒ คนยังว่าง แต่ราษฎรก็ไม่ยอมไป

จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง ข้าพเจ้าไปแลกเงินแต่เช้าเพื่อเอาเศษสตางค์ไว้ทอน เจ้าหน้าที่แผนกคลังบอกว่าไม่มีเศษสตางค์ให้แลก เมื่อไปซื้ออากรแสตมป์ เจ้าหน้าที่สรรพากรบอกว่าอากรแสตมป์ตอนนี้หมดยังเบิกมาจากจังหวัดไม่ได้

ข้าพเจ้าเริ่มพบอุปสรรคหลังจากสืบสวนเรื่องราวดูแล้วปรากฏว่าปลัดเชิดไปขอร้องเขาไว้ว่า อย่าให้ขายแสตมป์ให้ข้าพเจ้า คําร้องขอของปลัดเชิดได้ผล เพราะเจ้าหน้าที่แผนกคลังและสรรพากรต้องพึ่งพาอาศัยปลัดเชิด ส่วนข้าพเจ้าอาศัยอะไรไม่ได้

วันนั้นข้าพเจ้าอดรนทนไม่ได้ ตอนเย็นเมื่อเอาเงินไปส่งประมาณ ๓๐ บาท ถูกปลัดเชิดต่อว่าหาว่าข้าพเจ้าขี้เกียจ เขียนคําร้องทําให้ได้เงินน้อยกว่าเสมียนจ้างอีก ๒ คน ข้าพเจ้าโต้แย้งว่า ความจริงข้าพเจ้าเขียนถ้าจะนับจํานวนคนก็จะมีจํานวนมากกว่า แต่ที่ได้เงินน้อยกว่าเพราะข้าพเจ้าเรียกค่าเขียนตามที่กําหนดไว้ในระเบียบคือ ๒ บาท และค่าอากรแสตมป์ ๒๐ สตางค์ เท่านั้น ส่วนที่ ๒ คนนั้นได้เงินมากกว่าข้าพเจ้าก็เพราะไปเรียกเอาเงินจากราษฎรตามใจชอบบางครั้งเขาให้ใบละ ๕ ใบละ ๑๐ ก็ไม่ทอนให้เขา ทําให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อนเป็นอันมาก

ปลัดเชิดหัวเราะเหอะ ๆ พลางนับเงินให้ข้าพเจ้า ๘ บาท ส่วนอีก ๒๒ บาท ปลัดเช็ดเก็บใส่ลิ้นชักไว้แล้วปิดลิ้นชักทันที

“ผมเขียนคําร้องได้วันหนึ่ง ๆ ทั้ง ๓๐ กว่าบาททุกวันและทําไมท่านปลัดให้ผมเพียง ๘ บาท อย่างนี้ไม่ยุติธรรม”

“เอ็งนี่โง่จริงลูกเหมียนทุกคนได้เงินเป็นรายวันๆ ละ ๘ บาท เดือนละ ๒๔๐.- บาท ไม่มากไม่น้อยกว่านี้ ส่วนที่เหลือจากนั้น ทางอําเภอต้องเก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดของอําเภอค่ารับรองเจ้านายค่าอะไรต่อมิอะไรอีกจิปาถะ แต่ละเดือนแทบไม่พอใช้เอ็งรู้ไหม คนอื่นเขาเขียนได้เงินมากแต่เอ็งได้เงินน้อยที่สุดแต่กลับมีปัญหามากที่สุด” ปลัดเชิดต่อว่าข้าพเจ้าพร้อมสั่นหัวไปมา

“แล้วเงินส่วนที่เหลือ ท่านปลัดเอาไปเข้าบัญชีอะไรมิทราบครับ”

“บัญชีผี” เขาตอบทันทีพร้อมกับจ้องหน้าข้าพเจ้า

“บัญชีผีอะไรกันครับ ไม่เห็นมีใครตายสักคนหรือเอาไว้ทําบุญเผาผีเวลาข้าราชการอําเภอตาย หรือเอาไว้ทําบุญเผาผีไม่มีญาติ” ข้าพเจ้าไม่วายสงสัย

“โธ่เอ๋ยเซ่อฉิบหายเด็กเปรตเผาพ่อเองน่ะซิ บัญชีผีหมายถึงบัญชีเงินนอกงบประมาณ ไม่ต้องเอาให้ ค.ต.ง. ตรวจ จะใช้จ่ายอะไรก็ได้ ไม่ต้องทําหลักฐานทางราชการ ไม่ใช่เก็บเงินเอาไว้เผาผีไม่มีญาติ อย่างที่เอ็งเข้าใจหรอก” ท่านปลัดอธิบายพร้อมทําปากแบะนัยตาถลน ๆ จะลุกขึ้นเตะข้าพเจ้าอยู่รอมร่อ ข้าพเจ้าเห็นท่าไม่ค่อยจะดีเลยรีบลุก
หนีไปเสีย

อย่างน้อยวันนั้นข้าพเจ้าก็ได้ความรู้เรื่องบัญชีผีพอสมควร.

ปัญญา ฤกษ์อุไร - ชีวิตเสมียนจ้าง-บัญชีผี

หนังสือต่วย'ตูน เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๓ ปีที่ ๙ เล่มที่ ๖

Share:

Facebook
Twitter
Pinterest
LinkedIn

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Photobook

Highlight

Back Issues

On Key

Related Posts

หมาเจ้าเมือง

หมาเจ้าเมือง ร.ต.พิมล สุวรรณสุภา อันว่าบุญวาสนาของสัตว์โลก ทั้งผองจะเจริญขึ้นหรือเสื่อมลงนั้น ย่อมเป็นไปตามกฎแห่งกรรมของตนเองทั้งสิ้น ก่อกรรมใดที่ไม่ถูก กาลเทศะ, โลภโมโทสัน หรือเหิมเกริมจนลืมตนก็จะเป็นเหตุปัจจัยฉุดรั้งให้ต่ำลง แทนที่จะช่วยดึงให้สูงขึ้น สัจธรรมข้อนี้ผมได้มาจากชีวิตของ

รบกับเจ็ก

รบกับเจ็ก ประสงค์ บานชื่น ทางสื่อมวลชน เช่นวิทยุ โทรทัศน์ (เอ๊ย, ยังไม่มี) และหนังสือพิมพ์ ว่า “เชื่อผู้นําชาติพ้นภัย” “มาลานําไทยสู่มหาอํานาจ”

มวยแขก

ชุดแขกอมยิ้ม มวยแขก ชัยชนะ โพธิวาระ คุยกับแขกไม่ว่าเรื่องใดก็ตามอาบังแกต้องมีเรื่องมาเกทับคู่สนทนาอยู่เสมอ เช่นคุยถึงเรื่องรถแขกเขาต้องบอกว่ารถที่ผลิตในอินเดียแข็งแกร่งที่สุด รูปร่างที่สวยงาม แถมชื่อยังไพเราะซะด้วยคือยี่ห่อแอมบาสดอร์ ยิ่งมอเตอร์ไซค์ยิ่งชื่อเพราะใหญ่คือยี่ห้อ YEZDEE ถ้าคุยถึงเรื่องพระเจ้าบังแกก็จะคุยจนน้ําลายฟูมปากอีกนะแหละว่าอินเดียเป็นดินแดนของพระเจ้าและมีพระเจ้าอยู่ที่นี่มากที่สุด เรียกว่าคุยเรื่องไหนมาแขกเป็นคุยทับไปได้อย่างสบาย

“โอฬาร” – หนังสือหัวเตียง

หนังสือหัวเตียง “โอฬาร” เมื่อเดือนก่อนมีนักเขียนชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งแวะมาหาผมที่สํานักงาน “สตูดิโอ เท็น” ถนนอรรถการประสิทธิ์ ตอนนั้นสิบโมงเช้าแล้ว ผมกําลังนั่งดูเพื่อนฝูงเขาตัดต่อภาพยนตร์สารคดีท่องเที่ยว ชุด “ชีพจรลงเท้า” อยู่ นักเขียนชาวฝรั่งเศสผู้นั้นยังหนุ่มอยู่

ตะเกียงเจ้าพายุดวงนั้น – ปัญญา ฤกษ์อุไร

ปัญญา ฤกษ์อุไร ชุดทางไปสู่จวน ตะเกียงเจ้าพายุดวงนั้น ปัญญา ฤกษ์อุไร หลังจากที่ปลัดเชิดและข้าพเจ้า กับนายพันเสมียนมหาดไทย ออกไปทําตั๋วรูปพรรณควาย ที่ตําบลตาพระยา ในคราวนั้นแล้วก็เว้นระยะไปประมาณ ๒-๓

ชีวิตเมื่อปลายสงครามมหาเอเชียบูรพา

ชุดทางไปสู่จวน ชีวิตเมื่อปลายสงครามมหาเอเชียบูรพา ปัญญา ฤกษ์อุไร เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ อันเป็นปีที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ กําลังจะยุติ ข้าพเจ้าติดตามพ่อไปศึกษาอยู่โรงเรียนประจําอําเภอปากพนัง ซึ่งเป็นโรงเรียนรัฐบาลชาย