ตะเกียงเจ้าพายุดวงนั้น – ปัญญา ฤกษ์อุไร

ชุดทางไปสู่จวน

ตะเกียงเจ้าพายุดวงนั้น

ปัญญา ฤกษ์อุไร

หลังจากที่ปลัดเชิดและข้าพเจ้า กับนายพันเสมียนมหาดไทย ออกไปทําตั๋วรูปพรรณควาย ที่ตําบลตาพระยา ในคราวนั้นแล้วก็เว้นระยะไปประมาณ ๒-๓ อาทิตย์

วันหนึ่งปลัดเชิด เรียกข้าพเจ้าเข้าไปพบในห้องตอนบ่าย ๆ หลังจากไม่มีคนติดต่อราชการอําเภอ ราษฎรพากัน กลับบ้านหมดแล้ว

“ปรีชา เอ็งต้องไปท้องที่กับข้า” ปลัดเชิดออกคําสั่ง

“ก็ได้” ข้าพเจ้าตอบยวน ๆ เพราะหมั่นใส้ปลัดเชิดที่ชอบเบ่ง ต่อผู้น้อยที่ต่ำต้อยกว่าตน

“เที่ยวนี้เราไปทางตําบลโก้งโค้ง แถว ๆ นั้นเราไม่ได้ออกท้องที่มานานแล้ว ผู้ใหญ่บุญร้องเรียนมาว่ามีผู้ร้ายแอบมาอาศัยอยู่เสมอ แต่แกก็ไม่มีกําลังพอที่จะออกไปปราบปราม เพราะผู้ร้ายพวกนี้ มีลูกน้องหลายคน นายอําเภอท่านจึงสั่งให้ข้านํากําลังตํารวจไปตรวจตราดู ถ้ามีโอกาสก็ให้จับกุมตัวมาดําเนินคดี” ปลัดเชิดอธิบาย

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมละครับท่านปลัด” ข้าพเจ้าแกล้งแหย่ เพราะรู้ว่าปลัดเชิดแกขี้ยัวะ

“เอ็งมันพวกเต่ากะลาจะไปรู้เรื่องอะไร ขณะนี้การสอบสวนปราบปรามโจรผู้ร้าย ตลอดจนความรับผิดชอบต่อคดีอาญาทั้งหมดขึ้นอยู่กับอําเภอ ฉะนั้น เมื่อมีผู้ร้ายชุกชุมขึ้นในท้องที่ใด อําเภอก็ต้องนํากําลังตํารวจออกปราบปราม ถ้านายอําเภอติดราชการไปไม่ได้ ก็ต้องให้ปลัดออกไปแทนและนายอําเภอก็กําชับข้าให้เอาเองไปด้วย ทั้ง ๆ ที่ข้าก็เบื่อหน้าเอ็งเต็มทน เอ็งรู้หรือเปล่า หรือต้องให้ข้าลงไม้ลงมือ” ปลัดเชิดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด

“ท่านปลัดคงจะลงไม้ลงมือซ้อมราษฎรเสียจนเคยตัวเลยคิดจะลงไม้ลงมือเอากับผม…. ระวังผมจะฟ้องนายอําเภอสักวัน ถ้าผมฟ้องเมื่อไรรับรองท่านปลัดคงดิ้นไม่หลุด เพราะผมมีอ้ายเสมียนพันเป็นพะยาน” ข้าพเจ้าขู่เอาบ้าง

“เอ็งอย่าทําบ้าไปนะ ข้าเพียงแต่ล้อเองเล่นเท่านั้น” ปลัดเชิดเห็นว่าข้าพเจ้าจะเอาจริง จึงเสียงอ่อนลง

“พรุ่งนี้เช้าออกเดินทางประมาณสองโมงเช้า พบกันที่หน้าที่ว่าการอําเภอ จักรยานคนละคันตามเคย ผ้าขาวม้าอย่าลืมเป็นอันขาด อาหารไม่ต้องเตรียม อาศัยกินตามบ้านชาวบ้าน” ปลัดเชิดชี้แจงแผนการเดินทาง

“เบียดเบียนชาวบ้านตามเคย” ข้าพเจ้าว่า

“อย่าเสือกรู้กว่าผู้ใหญ่ ข้าบอกเองกี่หนแล้วว่าไปท้องที่ถ้าไม่กินข้าวบ้านเขา ชาวบ้านเขาหาว่าเราดูถูกไม่ให้เกียรติ เมื่อไหร่เอ็งจะเข้าใจเสียที่หา อ้ายงั่ง” ปลัดเชิดโกรธจัด

“แล้วขากลับ ท่านปลัดก็เบิกเบี้ยเลี้ยงเข้ากระเป๋าสะบายไป” “เออ แล้วเอ็งจะทําไมข้า… หา ไอ้ลิงหน้าแหลม”

“อ้อ…. ผมเป็นลิงไปแล้วหรือนี่” ข้าพเจ้าแกล้งยั่ว

“โธ่…. อ้ายเปรตนี่ เดี๋ยวพ่อเตะถวายเจ้าเสียนี่”

ปลัดเชิดลุกขึ้นโยงโย่ยงหยกเพราะติดเก้าอี้ พูดพลางยกเท้าฟาดโดนเก้าอี้ตัวที่ข้าพเจ้านั่งเสียงดังโครมใหญ่

“โอย หน้าแข้งกูพังหมดแล้ว…. อ้ายชิบหาย อ้ายปรีชามึงนะมึง…. วันหนึ่งกูต้องคิดบัญชีกะมึงให้ได้” ว่าแล้วปลัดเชิดก็ลงนั่งยอง ๆ เอามือกุมหน้าแข้งร้องโอย ๆ ให้เสมียนบนอําเภอหายาใส่กันวุ่นไป

ข้าพเจ้าเดินหัวเราะเหอะ ๆ ลงจากอําเภอกลับบ้าน

สองโมงเช้าวันนั้นพวกเราพร้อมกันที่หน้าอําเภอข้าพเจ้าสํารวจดูว่ามีใครบ้าง ผลปรากฏว่าคงเป็นคนเก่า ๆ ที่เคยไปทําตั๋วควายกันมาในคราวก่อนทั้งนั้น คือปลัดเชิดเป็นหัวหน้า นายพันเสมียนมหาดไทย จ่าแบน หมู่ลาภ และมีตํารวจเพิ่มมาอีกคนคือ หมู่คง และข้าพเจ้ารวมเป็น ๖ คน การที่ปลัดเชิดเอาตํารวจไปน้อยคนก็เพราะในสมัยนั้น โรงพักแต่ละแห่งมีตํารวจไม่มากนัก อย่างมากไม่เกิน ๓๐ คน สถานีตํารวจอําเภอเล็ก ๆ จะมีตํารวจไม่เกิน ๒๐ คน ในจํานวนนี้จะมีผู้บังคับกองยศ ร.ต.ท. บ้าง ร.ต.ต. บ้าง ๑ คน จ่า ๑ คน นายสิบประมาณ ๔-๕ คน นอกนั้นเป็นพลตํารวจ

ปากพนังเป็นอําเภอใหญ่มีศาลจังหวัดและมีคลังอําเภออยู่ด้วย ผู้กองจึงมียศเป็น ร.ต.ท. ชื่อท้วม กินหมากปากแดงเถือกทุกวัน อายุประมาณ ๕๐ เศษ ๆ นั่งเฝ้าโรงพักเป็นประจํา ส่วนใหญ่ เวลาออกท้องที่ ก็ไม่พ้นจ่าแบนกับหมู่ลาภ หมู่คง

ต่างกับปัจจุบันนี้ ผู้บังคับกองซึ่งเดี๋ยวนี้เขาเรียกเสียใหม่ว่าสารวัตรใหญ่มียศ พ.ต.ท. ส่วน ร.ต.อ. เป็นได้อย่างมากแค่ผู้หมวด ส่วน ยศ ร.ต.ท. ร.ต.ต. คงเป็นได้แค่จ่ากองกระมัง

สมัยนั้นข้าพเจ้าจําได้ว่าผู้บังคับการตํารวจยศ พ.ต.ท. ชื่อขุนนามนฤนารถ เดี๋ยวนี้ผู้บังคับการตํารวจยศพลตํารวจตรี อีกไม่นานเชื่อว่า ผู้กํากับก็คงจะต้องเป็นพลตรี ส่วนผู้บังคับการคงจะเป็นพลตํารวจโทผู้บัญชาการคงจะเป็นพลตํารวจเอกส่วนอธิบดีตํารวจคงจะเป็นจอมพลตํารวจอย่างแน่นอน เพราะมีแนวโน้มไปเช่นนั้นจริง ๆ

ปลัดเชิดเดินขะโยกเขยกมาหาเสมียนพัน ข้าพเจ้ายกมือไหว้ทักทายขึ้นก่อน

“สวัสดีครับท่านปลัด”

“เออ… สวัสดีไอ้ห่า … หลอกให้กเตะเก้าอี้แข้งขากูถลอกหมด อ้าย..” เสียงปลัดเชิดว่าข้าพเจ้าพึมพัม

“อยากเตะไม่ดูตาม้าตาเรือ” ข้าพเจ้าแกล้งว่า

“เออ ทีหลังรับรองกูจะเตะไม่ให้ผิดก็แล้วกัน” ปลัดเชิดกล่าวอาฆาตพร้อมกัดกรามกรอดๆ

“เราออกเดินทางกันเถอะ เดี๋ยวสายแดดร้อนจะไปไม่ไหว” เสียงจ่าแบนพูดขึ้น

“ไปก็ไป” ปลัดเชิดสั่ง

เราออกเดินทางโดยต่างคนต่างขี่จักรยานคนละคันไปตามเส้นทางสาย อําเภอโก้งโค้ง ระยะทางช่วงนี้ ๖ กิโลเมตร ทางสะบายไม่ลําบากอะไร ถีบไปเรื่อย ๆ ผ่านหมู่บ้านเป็นระยะ ๆ ห่าง ๆ กัน สองข้างทางเป็นป่าละเมาะ

สมัยก่อน ไม่มีรถยนต์ให้อําเภอนั่งไปตรวจราชการเหมือนสมัยนี้ ทั้งอําเภอและโรงพักไม่มีใครมีรถยนต์ การไปท้องที่ถ้าไม่ขี่จักรยานก็เดินไป หรือไม่ก็นั่งเรือไปตามลําคลองสําหรับท้องที่ ๆ อยู่ใกล้แม่น้ําลําคลอง ไอ้เรื่องที่จะนั่งรถยนต์ไปสบาย ๆ นั้นอย่าหวัง และเรื่องค่าน้ํามันแพงก็ไม่มีปัญหาอะไร เราไม่มีโอกาสได้ใช้น้ํามันเพราะเราไม่มีรถยนต์ดังกล่าวมาแล้ว

ประมาณครึ่งชั่วโมงเราก็ถึงชายทะเล เป็นหน้าแล้งเดือนมีนาคม-เมษายนคลื่นไม่จัด ยังพอเดินไปหรือขี่จักร ยานไปตามชายหาดได้ แต่ถ้าเป็นหน้ามรสุมแล้วคลื่นแต่ละลูกเท่าภูเขา กระทบหาดแต่ละครั้งดังสนั่นหวั่นไหว ไม่อาจเดินหรือขี่จักรยานได้ เพราะดีไม่ดีโดนคลื่นที่พัดหายไปในทะเลทั้งรถทั้งคน ที่เขาว่าอย่าไว้ใจทะเล เห็นจะจริงเพราะ ไม่รู้เมื่อไรจะเกิดพายุ น้ําทะเลจะพัดหายไปในพริบตา บางทีหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านหายไปเลย เหลือแต่ตอบ้านไว้เป็นอนุสรณ์ ปีที่เกิดพายุใหญ่ที่ปากพนัง เมื่อปี ๐๗ หรือ ๐๘ ข้าพเจ้าลืมเสียแล้ว ตําบลบ้านแหลมตะลุมพุก ถูกน้ําทะเลพัดหายไปทั้งตําบล

พอถึงชายทะเล พวกเราเลี้ยวซ้ายเลาะไปตามชายหาดสังเกตเห็นเศษไม้กระดาน หีบ ลัง ตลอดจน ทุ่นระเบิดลูกโต ๆ ตามชายหาดมากมาย นอกจากนั้นยังเห็นถึงน้ำมัน
ขนาด ๒๐๐ ลิตร ลอยมาชายฝั่ง และเห็นราษฎรชาวประมงแถวนั้นกลึงขึ้นไว้ใต้ถุนบ้าน เมื่อเปิดดูส่วนใหญ่เป็นน้ํามันจาระบี บ้างก็น้ํามันเครื่องบ้าง (ทางปักษ์ใต้เรียกน้ํามันขี้โล้) มีคนจากเมืองนครมาขอซื้อในราคาแพง ๆ ชาวประมงแถว ๆ นั้นจึงมีอาชีพอีกอย่างหนึ่งคือเก็บของพวกเรือแตกขาย บางครั้งก็มี เสื้อผ้า ยาง รถยนต์ อาหารกระป๋อง และของใช้อื่น ๆ อีกมาก

สําหรับทุ่นระเบิดนั้นเป็นลูกเหล็กกลม ๆ ขนาดเท่าโอ่งน้ํา บางลูกก็กลม ๆ เกลี้ยง ๆ แต่บางลูกกลม ๆ มีหนามแหลม ทั้ง ๒ ชนิดนี้เป็นทุ่นระเบิดที่หลุดลอยมา ครั้งแรก ๆ ชาวบ้านก็ไม่รู้จักว่าเป็นลูกอะไร เอามีดเอาขวานไปงัดแงะออกดูแต่ปรากฏว่าลูกระเบิด ๆ ขึ้นตายกันไปหลายคน แข้งขาด ขาขาด หัวขาด ใส้ทะลัก จึงรู้จักว่านั่นคือทุ่นระเบิด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ แม้แต่จะเดินเฉียดก็ยังไม่กล้า คงทิ้งระเกะระกะอยู่อย่างนั้นจนเสร็จสงครามแล้วตั้งนาน จึงมีพวกทหารช่างไปจัดการถอดสลักระเบิด ถึงกระนั้นทหารช่างก็ตายไปหลายคน เพราะทุ่นระเบิดในสมัยนั้นเป็นเรื่องใหม่ที่ทหารช่างของเรายังไม่เข้าใจเทคนิคต่าง ๆ เกี่ยวกับชะนวนระเบิดและกลไกของมันดีนัก พลาดท่าเสียที่บ่อย ๆ แต่ทุกครั้งที่พลาดก็หมายถึงชีวิต นับว่าเป็นงานที่ท้าทายมฤตยูอย่างหนึ่งในสมัยนั้น

มาเที่ยวนี้กะว่าจะหาชุดเวสปอยท์ ไปใส่เล่นโก้ ๆ สักชุด” เสียงปลัดเชิดเอ่ยขึ้น

“อย่างอื่นไม่เอาบ้างหรือครับ” เสียงหมู่ลาภถาม

“อะไรล่ะ อย่างอื่นของหมู่นะ”

“ทุ่นระเบิด ลูกกลมเอาไปตั้งไว้ดูเล่นหน้าบ้าน” ข้าพเจ้าสอดขึ้นทันควัน

“เอาไว้หน้าบ้านพ่อมึงนะซิอ้ายปรีชา” ปลัดเชิดตาเขียวหันขวับมาทางข้าพเจ้า

“ท่านปลัดกลัวใช่ไหมละ แล้วก็ไม่รู้วิธีถอดสลักก็เลยกลัวขี้ขึ้นสมอง” ข้าพเจ้าแกล้งแหย่

“ข้ารู้ทําไมข้าจะไม่รู้ แต่ถ้าเห็นว่าไม่มีประโยชน์ ข้าจึงไม่เอา” ปลัดเชิดทําเป็นอวดรู้แต่ความจริงไม่รู้ ข้าพเจ้าไม่อยากจะขัดคอ จึงได้แต่ยิ้ม ๆ

เสื้อกางเกงเวสปอยท์ สมัยนั้น เป็นเครื่องแบบทหารอเมริกันใช้ เป็นผ้าสีกากีลายสอง เนื้อนุ่ม ทนทาน พอซักรีดแล้วเป็นมันแผล๊บ หายากมากไม่มีขายในท้องตลาด ถ้าใครได้ใส่สักชุดถือว่าโก้มาก มีหน้ามีตา เดินอวดแฟนที่ตลาดได้ ปลัดเชิดแกใฝ่ฝันจะได้สักชุดหนึ่ง เพราะแกเห็นนายอําเภอใส่สวยดี มาเที่ยวนี้แกจึงหมายมั่นปั้นมือจะหาจะหาให้ได้

นาน ๆ เสื้อผ้าเหล่านี้จะลอยมาชายฝั่งสักครั้งหนึ่ง โดยมากจะติดมากับเศษเรือแตกหรือไม่ก็ ติดมากับคนซึ่งเป็นทหารอเมริกันตายลอยมาติดชายหาด ชาวประมงจะช่วยกันถอดเสื้อผ้าซักรีดเก็บไว้ขาย บางครั้งศพขึ้นอืดมากเสื้อปริจน ขาดไปก็มี จะต้องเอามาเย็บปะรอยขาดเสียก่อนแล้วจึงจะขายได้ ส่วนมากก็ขายกัน ชุดละ ๗๐.- บาท ถึง ๑๐๐.- บาท แล้วแต่ว่าใหม่หรือเก่า สวยหรือไม่สวย ดูที่เนื้อผ้าเป็นเกณฑ์

เราพากันถีบจักรยานไปตามชายหาดประมาณ ๗ กิโลเมตร สักชั่วโมงเศษ ๆ ก็ถึงหมู่บ้านโก้งโค้ง เห็นผู้ใหญ่บุญกับลูกบ้านยืนรอรับอยู่แต่ไกล แกดีใจมากเพราะนาน ๆ พวก อําเภอจะมาแวะเยี่ยมเยียนสักครั้งหนึ่ง

“คืนนี้นอนบ้านผม จัดเลี้ยงตอนเย็น ๆ มีลูกบ้านมาร่วมด้วยสนุกกันสักคืน ต้อนรับพวกอําเภอ” ผู้ใหญ่บุญชี้แจงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ตอนบ่ายได้นัดราษฎรมาประชุมกันที่ลานบ้าน หน้าบ้านผู้ใหญ่บุญ ชี้แจงถึงเหตุผลที่พวกเราได้มาในวันนี้ ขอความร่วมมือจากประชาชน ใครทราบเบาะแสคนร้าย ก็ขอให้บอกทางราชการ จะได้ทําการกําหราบปราบปรามต่อไป การประชุมชี้แจงทั้งหมดปลัดเชิดเป็นผู้ชี้แจงเรื่องทุ่นระเบิดที่ขาดลอยมาติดชายทะเลนั้นขอให้ราษฎรอย่าไปยุ่งหรือเข้าใกล้ จะเกิดอันตรายส่วนสิ่งของอย่างอื่นจะเก็บไว้ขาย ทางราชการก็ไม่ว่าอะไร ระยะนี้อยู่ระหว่างสงครามจะต้องระมัดระวังศัตรูจากภายนอกประเทศ ที่จะลักลอบเข้ามาทางชายฝั่ง อาจมาในรูปสายลับหรือแนวที่ห้าก็ได้ จงช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้แก่ทางราชการ

ชาวบ้านนั่งฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง นั่งพะยักหน้าหงึก ๆ หลังจากปลัดเชิดชี้แจงแล้วก็ถามว่ามีราษฎรคนใดสงสัยอะไรบ้างไหม ก็ปรากฏว่าเงียบกริบ ไม่มีใครสงสัยแสดงว่ารู้เรื่องดี แล้วปลัดเชิดจึงสั่งเลิกประชุม

เย็นวันนั้นปลัดเชิด ผู้ใหญ่บุญ จ่าแบน หมู่ลาภ และหมู่คง นั่งล้อมวงโจ้เหล้าขาว ๔๐ ดีกรีกัน เหล้าขาวที่ว่านี้คือ ส.ร.ถ. หรือสุราเถื่อนนั่นแหละ กับแกล้มก็มีปลาต้ม ปลาปิ้ง ปลาย่าง ปลาหมึก ปู กุ้ง หอย เรียกว่าอาหารโป๊ะแตกก็คงได้เพราะนั่งกินอยู่กับชาวประมงริมทะเล

เสียงชักอ้อแอ้จากวงเหล้าวงนั้น ข้าพเจ้ากับเสมียนพันนั่งรวมอยู่กับชาวบ้านอีกวงหนึ่งใกล้ ๆ กัน

“เฮ้ยอ้ายบุญ เองเก็บเสื้อกางเกงชุดเวสปอทย์กองไว้บ้างหรือเปล่าวะ ข้าอยากได้ไว้ใส่สักชุด” เสียงปลัดเปิดถามผู้ใหญ่บุญ

“มีครับ ผมมีอยู่ ๒ ชุด แต่บังเอิญชุดใหม่และสวยมากชุดนั้นผมขายให้คนเมืองนครไปเมื่อวานนี้เอง ในราคา ๑๐๐.- บาท คงเหลืออยู่อีกชุดเก่าหน่อย มีรอยขาดปริตรงหลังเสื้อนิดหน่อย แต่ผมให้ช่างเขาเย็บแล้วคงใช้ได้” ใหญ่บุญชี้แจงพลางฉีกปูต้มมาเคี้ยวกร้อม ๆ

“เก่า ๆ ก็เอาไม่เป็นไร เอ็ง คิดเท่าไรละชุดนี้ เก่าแล้วก็ไม่ควรจะแพงนัก” ปลัดเชิดพยายามจะกดราคา

“ไม่เป็นไรครับสําหรับท่านปลัดผมขอมอบให้ฟรี ไม่เอาเงินเพราะผมก็ได้มาฟรี ๆ เหมือนกัน” ผู้ใหญ่บุญว่า

“เออ ให้มันได้ยังงี้ซีน่ารักกันตายเลยจริงไหมจ่าแบน”

จ่าแบนพยักหน้างึก ๆ ยกเหล้าซดโฮกใหญ่

“ผมสงสัยว่าไอ้บุญมันไปเอามาจากพวกผีตายโหงลอยน้ํามาติดชายฝั่ง” จ่าแบนพยายามชี้ที่มาของเวสปอทย์ชุดนั้น

“โธ่จ่าแบน ผมจะเอาชุดผีตายโหงมาให้เจ้านายได้ยังไง ? ปลัดเชิดผมก็นับถือ ผมไม่ทําอย่างงั้นเด็ดขาด” พูดจบผู้ใหญ่บุญก้มหน้าไม่ค่อยจะสู้สายตาจ่าแบนเท่าใดนัก

“กูไม่รู้โว้ย แต่ถ้าเป็นชุดที่ติดมากับศพขึ้นอืดลอยน้ํามาถึงจะสวยยังไงกูก็ไม่รัปทาน กูเกรงเจ้าของเขามาทวงคืน ถ้ามาตอนกลางวันก็ดีไป ถ้ามาทวงกลางคืนละมึงเอ๋ยกูวิ่งกันจนป่าราบ” จ่าแบนอธิบาย

“ไม่เอานะอย่าพูดบ้า ๆ แบบนั้น ก็ผู้ใหญ่บุญเขายืนยันว่า เป็นชุดที่ลอยมาตามน้ําไม่ใช่ชุดที่แกะจากศพทหารอเมริกันก็ต้องเชื่อเขา เรื่องของคนหมาไม่เกี่ยว” ปลัดเชิดชักยั๊ว

“อ้าว ทําไมท่านปลัดพูดอย่างนั้น ผมหวังดีต่อท่านปลัดผมจึงทักท้วง เมื่อท่านไม่เชื่อก็ตามใจ” ว่าแล้วจ่าแบนก็คว้าปูม้าออกหักสองซีกใส่ปากเคี้ยว

ค่ำลงชาวบ้านทะยอยกันมาเรื่อย ๆ สักครู่ตะเกียงเจ้าพายุ ๒ ดวง ไฟสว่างจ้าสมัยนั้นไฟฟ้ายังไม่มี ถ้ามีงานทําบุญหรือรําวงก็ใช้ตะเกียงเจ้าพายุ รําวงมีทุกหมู่บ้านและรําวงกําลังแพร่หลาย ไปท้องที่ไม่ว่าที่ไหนผู้ใหญ่บ้านกํานันจะจัดรําวงต้อนรับและมีสาว ๆ ในหมู่บ้านมารํากันมาก หลังจากรําวงแล้วก็แยกกันไปเป็นคู่ ๆ ไปคุยกันตามสุมทุมพุ่มไม้แล้วแต่ใครชอบใคร รักใครก็ไปกับคนนั้น

พอตั้งวงเสร็จรวงก็เริ่มเสียงโทน ปะโทน ๆ ปะโทน ๆ ดังเป็นระยะประกอบกับเสียงเพลงแล้วเร้าใจหนุ่ม ๆ สาว ๆสมัยนั้นยิ่งนัก

“งามแสงเดือนมาเยือนส่องหล้า งามใบหน้ามาสู่วงรำ เราเล่นกันให้สนุกเปลื้องทุกข์ให้วายระกํา เรามาเล่นฟ้อนรําเพื่อความสามัคคี เอย…..”

“ขอเชิญท่านปลัดเปิดประเดิมรําวงเป็นคู่แรกกับอีแวว

สาวสวยของตําบลโก้งโค้ง” เสียงผู้ใหญ่บุญลุกขึ้นประกาศ

“เอ้ากองเชียร์ขึ้นเพลง” ผู้ใหญ่บุญสั่ง

“เจ้าช่อมมาลี คนดีของพี่ก็มา…สวยจริงหนา ในยามค่ำคืน ดวงจันทร์ไปไหนทําไมจึงไม่ส่องแสง จันทร์มาแขวงแสงสว่าง เมฆน้อยลอยมาบัง…..เจ้าช่อมาลี คนดีของพี่ก็มา…” ปลัดเชิดรําเฉิบๆ กระแซะตัวเข้าไปใกล้อีแวว ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ทําจมูกฟุตฟิต

“เอ้า ใกล้เข้าไปอีกนิด ชิด ๆ เข้าไปอีกหน่อยสวรรค์น้อย ๆ อยู่ในวงฟ้อนรํารูปหล่อขอเชิญมาเล่นเนื้อเย็นขอเชิญมารำ มองมานัยตาหวานฉ่ำ ๆ ….. ขอเชิญมาทํากับพี่นี่เอย….. ใกล้เข้าไปอีกนิด ชิด ๆ เข้าไปอีกหน่อย ตะพดน้อย ๆ อยู่ในวงฟ้อนรํา… (เสียงจ่าแบนสอดแทรกเข้ามากลางคัน) ปลัดเชิดหันไปมองตาเขียว

“กูหมดมู๊ด พอกูเลิก กินเหล้าดีกว่า” ว่าแล้วปลัดเชิดก็เดินออกจากวง ผู้ใหญ่บุญให้อีแววไปปลอบปลัดเชิดให้หายโมโห

แววเป็นคนสวย ผิวขาวละเอียดรูปร่างอวบอัด หน้าอกเต่งตึงจนเห็นได้ชัดตะโพกผาย เอวกิ่ว นัยตากลมโต จมูกโด่ง ผมยาวประบ่า ปลัดเชิดต้องใจมองไม่ได้หยุดมาตั้งแต่ตอนเย็น

“คุณน้าปลัดอย่าเอาแต่โมโหโทโส ซิคะ นั่งพักสักครู่เดี๋ยวพอหายเหนื่อยแล้วค่อยไปกันใหม่ แววจะป้อนอาหารให้นะคะ” แววพยายามเอาใจท่านปลัดตามคําสั่งผู้ใหญ่บุญ

“แวว เรียกฉันว่าน้าไม่แก่ไปหน่อยหรือจ๊ะ”

“จะให้เรียกว่าอะไรละ” แววถาม

“เรียกพี่จะได้ไหมจ๊ะ แวว” ปลัดเปิดทําเสียงเล็กเสียงน้อย

“อ้วก! แก่แล้วไม่เจียม” ข้าพเจ้าพูดเบา ๆ แต่ปลัดเชิดหูไว ได้ยินแต่ไม่แน่ว่าใครพูดเพราะในวงข้าพเจ้ามีคนนั่งกันอยู่หลายคน

“เรื่องของคน หมาไม่เกี่ยว” ปลัดเชิดด่ากราด

“รําคาญไอ้พวกนี้เต็มทนเราไปหาที่นั่งเงียบๆ ใต้โคนต้นมะพร้าวคุยกันดีกว่านะแวว น๊ะ” ปลัดเชิดชวนแววไปนั่งทางอื่นเพราะรําคาญกลุ่มของพวกเราที่นั่งแซวอยู่ ปลัดเชิดคงจะโมโหไม่น้อยแต่ก็ไม่กล้าทําอะไรพวกเรา

ว่าแล้วปลัดเชิดก็จูงมือแวว หายลับไปทางสวนมะพร้าว ข้าพเจ้านั่งอยู่ครู่ใหญ่ คิดหาวิธีแก้เผ็ดปลัดเชิดที่แกแกล้งข้าพเจ้าให้ควายดีดลูกกะเบี้ยว เมื่อวันก่อน บังเอิญเสมียนพันรับเคราะห์แทน

“นี่แน่ะเสมียนพัน อยากให้เจ้านายรักไหม ?

“อยากซิ ทําไมจะไม่อยาก เจ้านายรักเราก็เจริญรุ่งเรือง เจ้านายเกลียดเราก็จมบ่อ”

“ถ้าอย่างงั้นก็ดีแล้ว เสมียนพันควรเอาใจเจ้านายหน่อย เวลานี้ปลัดเชิดเจ้านายของเสมียนพัน หายเข้าไปดงมะพร้าวซึ่งมืดมาก และอาจเป็นอันตรายได้ เพราะแถวนี้มี สัตว์ร้ายชุกชุม งูเงี้ยวเขี้ยวขอก็มาก และนี่ก็หายไปนานแล้วไม่ทราบว่าหายไปไหนเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้”

“แล้วจะให้ผมทําอย่างไรหรือ ?”

“คุณพันก็เอาตะเกียงเจ้าพายุไปหนึ่งดวงแล้วเดินเข้าไปดงมะพร้าวมืด ๆ นั่นหาปลัดเปิดให้พบ เมื่อพบแล้วจงเอาตะเกียงเจ้าพายุวางไว้ตรงหน้า แล้วบอกว่าผมเห็นเจ้านายมานั่งอยู่มืด ๆ เกรงจะเป็นอันตรายจากสัตว์ร้ายและยุงรบกวนและอาจมองอะไรไม่เห็นจึงเอาตะเกียงเจ้าพายุมาให้ไว้ใช้ ๑ ดวง พูดแค่นี้แล้วคุณพันก็กลับ รับรองว่าปลัดเชิดต้องรักคุณพันแน่ ๆ เพราะรู้จักเป็นห่วงเจ้านาย”

พอข้าพเจ้าพูดจบนายพันซึ่งเป็นคนที่ม ๆ ไม่ฉลาดนักก็ฉวยตะเกียงเจ้าพายุเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในดงมะพร้าวที่มืด ๆ ข้าพเจ้าสะกดรอยตามหลังนายพันไปสังเกตการณ์ นายพันเดินหาปลัดเชิดเรื่อย ๆ ในดงมะพร้าวลึก ๆ ซึ่งมืดมากสักครู่หนึ่งก็เห็นปลัดเชิดกําลังตระกองกอดลูบคลําแม่แววอยู่ ปลัดเชิดตกใจผงะออกจากกัน ลุกขึ้นยืนท้าวสะเอว

“ใครให้ถึงเสือกเอาตะเกียงเจ้าพายุเข้ามา”

“ผมเองครับ ผมหวังดีต่อท่านปลัด เห็นอยู่มืด ๆ เกรงสัตว์ร้ายจะทําร้ายเอาแล้วก็…อ้าเกรงท่านจะมืดมองอะไรไม่เห็น จึงเอาตะเกียงเจ้าพายุมาให้”

“โธ่ ไอ้เวร…ไอ้ห้าร้อย กูไม่ต้องการตะเกียงไปให้พ้น กูอยากรู้นักว่าใครใช้มึงมาหา”

“ปรีชาครับ ปรีชา เขาหวังดีต่อท่าน จึงใช้ให้ผมเอาตะเกียงมา”

“โธ่โว้ย ไอ้ปรีชา เองจะจองล้างจองผลาญข้าไปถึงไหน…ไป ไปให้พ้น เอาตะเกียงของเองไปด้วย กูอยากตาย ๆ” เสียงปลัดเชิดดังลั่น

“คืนนี้เสียฤกษ์แล้ว หนูว่าเราไปรำวงกับพรรคพวกข้างนอกดีกว่า” ว่าแล้วแววก็ออกตามเสมียนพันมา พร้อมตะเกียงเจ้าพายุ คงปล่อยให้ปลัดเชิดนั่งอยู่โคนต้นมะพร้าวท่ามกลางความมืดมิดของราตรีนั้น

ปัญญา ฤกษ์อุไร - ตะเกียงเจ้าพายุดวงนั้น

หนังสือต่วย'ตูน เดือนมกราคม ๒๕๒๓ ปีที่ ๙ เล่มที่ ๙

Share:

Facebook
Twitter
Pinterest
LinkedIn

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Photobook

Highlight

Back Issues

On Key

Related Posts

หมาเจ้าเมือง

หมาเจ้าเมือง ร.ต.พิมล สุวรรณสุภา อันว่าบุญวาสนาของสัตว์โลก ทั้งผองจะเจริญขึ้นหรือเสื่อมลงนั้น ย่อมเป็นไปตามกฎแห่งกรรมของตนเองทั้งสิ้น ก่อกรรมใดที่ไม่ถูก กาลเทศะ, โลภโมโทสัน หรือเหิมเกริมจนลืมตนก็จะเป็นเหตุปัจจัยฉุดรั้งให้ต่ำลง แทนที่จะช่วยดึงให้สูงขึ้น สัจธรรมข้อนี้ผมได้มาจากชีวิตของ

รบกับเจ็ก

รบกับเจ็ก ประสงค์ บานชื่น ทางสื่อมวลชน เช่นวิทยุ โทรทัศน์ (เอ๊ย, ยังไม่มี) และหนังสือพิมพ์ ว่า “เชื่อผู้นําชาติพ้นภัย” “มาลานําไทยสู่มหาอํานาจ”

มวยแขก

ชุดแขกอมยิ้ม มวยแขก ชัยชนะ โพธิวาระ คุยกับแขกไม่ว่าเรื่องใดก็ตามอาบังแกต้องมีเรื่องมาเกทับคู่สนทนาอยู่เสมอ เช่นคุยถึงเรื่องรถแขกเขาต้องบอกว่ารถที่ผลิตในอินเดียแข็งแกร่งที่สุด รูปร่างที่สวยงาม แถมชื่อยังไพเราะซะด้วยคือยี่ห่อแอมบาสดอร์ ยิ่งมอเตอร์ไซค์ยิ่งชื่อเพราะใหญ่คือยี่ห้อ YEZDEE ถ้าคุยถึงเรื่องพระเจ้าบังแกก็จะคุยจนน้ําลายฟูมปากอีกนะแหละว่าอินเดียเป็นดินแดนของพระเจ้าและมีพระเจ้าอยู่ที่นี่มากที่สุด เรียกว่าคุยเรื่องไหนมาแขกเป็นคุยทับไปได้อย่างสบาย

“โอฬาร” – หนังสือหัวเตียง

หนังสือหัวเตียง “โอฬาร” เมื่อเดือนก่อนมีนักเขียนชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งแวะมาหาผมที่สํานักงาน “สตูดิโอ เท็น” ถนนอรรถการประสิทธิ์ ตอนนั้นสิบโมงเช้าแล้ว ผมกําลังนั่งดูเพื่อนฝูงเขาตัดต่อภาพยนตร์สารคดีท่องเที่ยว ชุด “ชีพจรลงเท้า” อยู่ นักเขียนชาวฝรั่งเศสผู้นั้นยังหนุ่มอยู่

ชีวิตเสมียนจ้าง-บัญชีผี

ชุดทางไปสู่จวน ชีวิตเสมียนจ้าง-บัญชีผี ปัญญา ฤกษ์อุไร วันนั้นเป็นวันจันทร์ตอนต้น ๆ เดือน ข้าพเจ้าไปอําเภอแต่เช้า เพราะเป็นวันที่นายอําเภอให้ข้าพเจ้าไปเริ่มทํางานเป็นเสมียนจ้างได้ เมื่อข้าพเจ้าไปถึงอําเภอนั้นเป็น เวลาแปดโมงเศษ ๆ

ชีวิตเมื่อปลายสงครามมหาเอเชียบูรพา

ชุดทางไปสู่จวน ชีวิตเมื่อปลายสงครามมหาเอเชียบูรพา ปัญญา ฤกษ์อุไร เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ อันเป็นปีที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ กําลังจะยุติ ข้าพเจ้าติดตามพ่อไปศึกษาอยู่โรงเรียนประจําอําเภอปากพนัง ซึ่งเป็นโรงเรียนรัฐบาลชาย