มวยแขก

ชุดแขกอมยิ้ม

มวยแขก

ชัยชนะ โพธิวาระ

คุยกับแขกไม่ว่าเรื่องใดก็ตามอาบังแกต้องมีเรื่องมาเกทับคู่สนทนาอยู่เสมอ เช่นคุยถึงเรื่องรถแขกเขาต้องบอกว่ารถที่ผลิตในอินเดียแข็งแกร่งที่สุด รูปร่างที่สวยงาม แถมชื่อยังไพเราะซะด้วยคือยี่ห่อแอมบาสดอร์ ยิ่งมอเตอร์ไซค์ยิ่งชื่อเพราะใหญ่คือยี่ห้อ YEZDEE ถ้าคุยถึงเรื่องพระเจ้าบังแกก็จะคุยจนน้ําลายฟูมปากอีกนะแหละว่าอินเดียเป็นดินแดนของพระเจ้าและมีพระเจ้าอยู่ที่นี่มากที่สุด เรียกว่าคุยเรื่องไหนมาแขกเป็นคุยทับไปได้อย่างสบาย ๆ แต่ถ้าคุยเรื่องหมัดเรื่องมวยกันอาบังแกจะเงียบกริบลงทันตาเห็นทีเดียว ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจากชาวอินเดียไม่ชอบเรื่องหมัดเรื่องมวย ความรู้เรื่องหมัด ๆ มวย ๆ ก็เลยไม่มีพอที่จะคุยอวดใครได้ ผมเคยสนทนาเรื่องมวยกับดอกเตอร์ทางสันสกฤตท่านหนึ่ง ท่านบอกว่านักมวยในโลกนี้มีอยู่คนเดียวคือโมฮัมเหม็ด อาลี

“ถ้าทั้งโลกมีนักมวยอยู่เพียงคนเดียวแล้ว เขาจะชกกับใครละครับ” ผมถาม

“นั่นซี ไอก็กําลังจะถามอยู่พอดีทีเดียว” ท่านเล่นตอบอย่างนี้ผมก็เลยเลิกคุยเรื่องมวยแล้วหันมาคุยเรื่องพระเจ้าแทน

เท่าที่ผมสังเกตดูตอนแขกทะเลาะกันแล้วเห็นว่าศิลปะการต่อสู้ประจําชาติของแขกคือมวยลูกผสมระหว่างมวยปล้ำกับมวยสากลปนกังฟูบวกคาราเต้ ถ้าท่านผู้อ่านไม่เชื่อผมก็ลองสังเกตดูหนังแขกตอนพระเอกต่อสู้กับผู้ร้ายก็ได้ แล้วท่านจะเห็นว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์ของการต่อสู้เป็นมวยปล้ำ ส่วนที่เหลืออีกสี่สิบเปอร์เซ็นต์เป็นมวย มั่วคือมีทั้งลูกส้น ลูกแป หัวโขก ขึ้นเข่า และบิดจมูกคู่ต่อสู้

ที่แขกใช้มวยลูกผสมอย่างนี้ก็เพราะแขกไม่มีสัญลักษณ์การต่อสู้ประจําชาติเหมือนไทยหรือญี่ปุ่น ประกอบกับอาบังทั้งหลายก็ใจไม่ค่อยถึงในเรื่องนี้ เวลาทะเลาะกันทีไรก็มีแต่พ่นน้ําลายเข้าหากัน พอชีไม้มือเถียงกันจนเหนื่อยอ่อนด้วยกันทั้งสองฝ่ายแล้วต่างก็ล่าถอยกลับบ้านใครบ้านมัน ถ้าเป็นการทะเลาะที่รุนแรงขนาดต้องลงไม้ลงมือกันแล้ว แขกก็จะใช้การต่อสู้ที่เรียกว่า “ยู่ซ่าว” ในภาษาอิสาน (ใครแปลไม่ออกก็ถามคนอีสานที่อยู่ข้างท่าน) คือทั้งสองใช้มือประสานกันแบบหนังจีนประกบฝ่ามือกับฝ่ายตรงข้ามแล้วใช้กําลังดันกันไปดันกันมา ถ้าใครถูกดันจนล้มหงายท้องก็ถือว่าแพ้ ฝ่ายผู้ชนะก็จะด่าซ้ำอีกเล็กน้อยแล้วจึงเดินมือปัดตูดกลับบ้านอย่างผู้ชนะ ส่วนการตบต่อยจนกระทั่งเลือดตกยางออกนั้นหาดูยากในเมืองแขก ทั้งนี้เพราะกฎหมายแขกมีบทลงโทษการทําร้ายร่างกายกันหนักมาก อีนี่ติดคุกยังไม่ชอบนะ ดังนั้น ในช่วงหลายทศวรรษ ที่ผ่านมาท่านจะเห็นว่าไม่มีชื่อของนักมวยแขกในทําเนียบมวยโลกเลย ไม่มีสนามมวยในเมืองแขกต่อยกันได้ทุกวันเหมือนเมืองไทยไม่มีการไต่บันไดสามขั้นเพื่อชิงแชมป์โลก และไม่มีแชมป์ภาคหรือแชมป์โลกที่ดัง ๆ อย่างประเทศเพื่อนบ้านเรือนเคียง

จนกระทั่งต่อมามีหนังของบรุช ลี เข้าไปฉายในอินเดียพวกวัยรุ่นจึงเกิดการตื่นตัวและคลั่งการต่อสู้แบบจีนขึ้นมา ตอนนี้ไปไหนมาไหนก็เจอพวกหนุ่ม ๆ เตะลมเตะแล้งอยู่วืดวาด ๆ ในที่สุดก็มีพวกหัวใสเปิดโรงยิมขึ้นเพื่อฝึกกังฟูและคาราเต้กันอย่างจริงจัง นี่เรียกว่าเพราะหนังจีนแท้ ๆ คลื่นลูกใหม่จึงได้หันมาสนใจเรื่องมวยกัน

ฝ่ายทางสถานศึกษาก็หันมาสนับสนุนเรื่องนี้กันอย่างจริงจังด้วยเพื่อให้นิสิตนักศึกษาได้ออกกําลังกันแทนการสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้า ถึงกับมีการจัดแข่งขันมวยมหาวิทยาลัยขึ้นโดยให้รัฐต่าง ๆ ผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพทุกปี ที่สนุกที่สุดคงไม่มีปีไหนเกินคราวที่มหาวิทยาลัยเดลลีเป็นเจ้าภาพ คราวนั้นมีนักมวยจากมหาวิทยาลัย ต่าง ๆ ทั่วประเทศเข้าชิงชัยกันอย่างคับคั่ง นักมวยที่เป็นตัวแทนจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เหล่านี้มีทั้งแขก อิหร่าน อูกานดา อังกฤษ พิจิ เคนยา และไทยแลนด์

คนไทยที่ได้เข้าไปฝากฝีไม้ลายมือในศึกมวยมหาวิทยาลัยคราวนั้นคือมิสเตอร์พนม หรือเจ้านิด นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมคธ เจ้านิดเป็นลูกชายเจ้าของบริษัทขายยาแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ตอนแรกเตี่ยมันส่งไปเรียนที่สิงคโปร์แต่ก็เรียนไม่จบ ต่อมาเลยส่งไปอเมริกา อยู่ที่นั่นได้สักพักเจ้านิดก็หนีกลับมาอีก พอมาอยู่บ้านก็สร้างเรื่องให้เตี่ยเดือดร้อนอยู่บ่อย ๆ เตี่ยรําคาญมากก็เลยส่งมาเรียนที่อินเดียโดยออกประกาศิตว่าห้ามเรียนจบเป็นอันขาด ปีไหนสอบได้เตี่ยจะทําโทษ ถ้าปีไหนสอบตกก็จะได้รางวัล สรุปแล้วก็คือหาทางไม่ให้เจ้านิดกลับบ้าน เพราะกลับมาทีไรหาเรื่องให้เตี่ยปวดหัวทุกที

เจ้านิดเป็นคนผอม สูงโย่งโต๊ะ แขนขายาว หวีผมทรงเอลวิส สูบบุหรี่วันละสองซอง เป็นนักศึกษาคณะเภสัชแต่ไม่เคยไปเรียนเลยเพราะกลัวสอบได้ ความจริงแล้วเจ้านิดไม่เคยหัดมวยมาก่อนเลยแต่ทนแรงยุจากเพื่อนนักเรียนไทยไม่ไหวก็เลยลองหัดดู อาศัยว่าเจ้านิดเป็นคนรูปร่างสูงและแขนยาวจึงเป็นมวยที่ค่อนข้างจะได้เปรียบคู่ต่อสู้ คือแย้ปถอย ๆ ให้ครบสามยกก็สบายแล้ว ประกอบกับพวกแขกก็ไม่เป็นมวยด้วย เจ้านิดจึงผ่านการคัดเลือกเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยมาต่อยที่เดลลีอย่างสบาย ๆ


ที่เดลลี เจ้านิดก็เจอกับพวกผมที่มาจากรัฐกุจรัต (ในฐานะผู้ชมนะครับ ไม่ใช่นักมวยเพราะแค่เดินเท่านั้นพวกผมก็เซไปเซมาด้วยฤทธิ์เหล้าเถื่อนที่ถองเป็นประจําถ้าขืนขึ้นต่อยมวยก็มีหวังม่องแน่) ถึงแม้ว่าเราจะอยู่กันคนละมหาวิทยาลัยแต่พวกผมก็เชียร์เจ้านิดอย่างสุดใจขาดดิ้นเพราะถึงยังไงเราก็เป็นคนไทยด้วยกัน

ในวันชกรอบแรกพวกผมเข้าไปปนอยู่ในกลุ่มกองเชียร์ของมหาวิทยาลัยมคธเพื่อจะลุ้นเจ้านิด วันนั้นมีนักมวยขึ้นชกทั้งหมด ๓๘ คู่ โดยเริ่มจากรุ่นเฮฟวี่เวทไล่ลงไปถึงรุ่นฟลายเวทอันเป็นรุ่นที่เจ้านิดเข้าชิงชัยในครั้งนี้ การแข่งขันเริ่มเวลา ๑๘.๐๐ น. แต่กว่าจะได้ชกจริง ๆ ก็ทุ่มกว่าเพราะกรรมการมัวแต่คุยกัน เจ้านิดซึ่งเป็นคู่สุดท้ายจึงได้ขึ้นชกตอนตีสี่กว่า ๆ กับนักชกจากรัฐโอริสสา

มิสเตอร์พนมของเราก้าวขึ้นเวทีด้วยดวงตาอันแดงก่ำเพราะง่วงนอน ส่วนคู่ชกก็หลับตาเดินขึ้นเวทีมาเช่นเดียวกัน กรรมการเรียกนักมวยทั้งสองมาชี้แจงกติกาที่กลางเวทีโดยก้มหัวพิงกันอยู่ครูใหญ่ ๆ เข้าใจว่าจะแอบหลับทั้งสามคน แล้วเสียงระฆังของยกที่หนึ่งก็เริ่มขึ้น การชกของคู่นี้ถ้าจะให้พากย์ก็คงได้ดังนี้

ยกที่หนึ่งของมวยคู่ที่สามสิบแปดเริ่มขึ้นแล้วครับ นิดฝ่ายแดงหาวครั้งหนึ่งแล้วแย้ปนําไปก่อนเบาๆ ฝ่ายน้ําเงินก็หาวจนเห็นลิ้นไก่แล้วจึงแย้ปตอบไปเบา ๆ เช่นกัน นิดหาวสองครั้งติด ๆ กันแล้วสวิงไปที่กกหูของรามจันฝ่ายน้ําเงินได้หนึ่งที่จนรามจันผวาเข้ากอดเอาไว้ กรรมการหาวหนึ่งครั้งเหมือนกันแล้วเข้าแยกทั้งคู่ให้ออกมาที่กลางเวทีใหม่ นักมวยทั้งสองหาวรดหน้ากันอยู่สักพัก นิดก็หลับตาต่อยซ้ายต่อยขวาสลับใบหน้าและลําตัวของรามจันจนไม่มีโอกาสได้หาว

“กริ่ง” กรรมการจับเวลาหาวแล้วจึงเคาะระฆังหมดยกแรก

เจ้านิดหาวไปชกไปจนครบสามยกก็ได้รับการชูมือให้ชนะคะแนนไปด้วยความง่วง

อาศัยสไตล์การชกแบบแย้ปถอย ๆ อยู่อย่างนี้มาหลายครั้ง เจ้านิดก็ชนะคะแนนคู่ต่อสู้เรื่อยมาจนถึงรอบชิงชนะเลิศ เล่นเอานักเรียนไทยดีอกดีใจไปตาม ๆ กันที่มีคนไทยขึ้นชกเพียงคนเดียวแล้วผ่านมาถึงรอบชิงชนะเลิศ ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ได้ร้อยละร้อยเชียวนะครับ ส่วนอินเดียซึ่งเป็นเจ้าของประเทศนั้นได้เข้าชิงกันเองในรุ่นเฮฟวี่เวทและไลท์เฮฟวี่เวทเท่านั้น นอกนั้นก็เป็นเคนยาเจออูกานดาบ้าง อิหร่านเจออูกานดาบ้าง ฯลฯ คือมหาวิทยาลัยใดมีพวกอาฟริกามาเรียนอยู่มากก็ได้เข้าชิงชนะเลิศหลายรุ่น ส่วนรุ่นฟลายเวทมีไทยเจอกับเคนยา

ก่อนวันชิงชนะเลิศพวกเราก็มานั่งศึกษาคู่ต่อสู้ของเจ้านิดว่ามีสไตล์การชกอย่างไรเพื่อวางแผนพิชิตเอาเหรียญทองมาให้ได้ เจ้ามืดจากเคนยาคนนี้ตัวเตี้ยกว่าเจ้านิดร่วมคืบแต่รูปร่างหนากว่า หน้าอกและต้นแขนมีกล้ามขึ้นเป็นมัด ๆ ต้นขาใหญ่ ก้นแอ่นงอนแน่นปึก แถมไว้เครารกครึ้มอย่างน่ากลัว หมอเป็นตัวแทนจากมหาวิทยาลัยเดลลีผู้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันครั้งนี้ ตามสถิติการชกมาตั้งแต่รอบแรก หมอทุบคู่ต่อสู้ ชักดิ้นชักงอแค่ยกที่หนึ่งมาตลอด สไตล์การชกของหมอก็คือเดินหน้าตามทุบเอาดื้อ ๆ ใครหลีกทันก็พ้น ใครหลบไม่พ้นก็ชัก ตามฟอร์มแล้วจึงเป็นต่อฝ่ายไทยแลนด์อยู่สามสองเพราะมิสเตอร์นิดจากมหาวิทยาลัยมคธแกชกแบบผีเสื้อร่ายรำคือแหย่แล้วหนีแหย่แล้วหนีคู่ต่อสู้ต้องเดินตามจนขาอ่อน บางคนหน้ามืดยืนเกาะเชือกให้นับแปดไปเฉย ๆ ก็มี ดังนั้นเราจึงวางแผนว่าจะใช้วิธีต่อยแบบฉาบฉวยเก็บคะแนนจึงจะชนะเจ้ามืดได้

“เอ็งเข้าใกล้มันไม่ได้นะไอ้นิด ไอ้มืดมันหมัดหนักมากมันอาจทุบแกจนกะโหลกยุบก็ได้ ทางที่ดีคือแย้ปอยู่ห่าง ๆ ถ้ามันเข้าใกล้ก็ให้ต่อยแบบหักศอกกลาย ๆ ห้ามเองเข้าแลกหมัดเด็ดขาด” พี่เทพ นักศึกษาปริญญาโทซึ่งตั้งตัวเป็นโค้ชแทนอาจารย์ผู้คุมมาสั่งสอน ส่วนเจ้านิดก็ยิ้มจืด ๆ ตอบว่า

“ให้มันชนะผ่านไปเลยไม่ดีหรือพี่ ผมเห็นมันตามทุบเจ้าบังจากไมซอร์ในรอบรองแล้วใจมันไม่ค่อยสู้เลย”

“ไม่ได้” พี่เทพพูดเฉียบขาด “คนไทยไม่มีคําว่าหนี”

แล้ววันชิงชนะเลิศก็มาถึง วันนี้ดูเจ้านิดมันหงอยไป พอตกตอนบ่ายมันก็หายหน้าไปโดยไม่มีใครรู้ว่าไปไหน เพื่อน ๆ คิดว่ามันคงไปหาที่เงียบ ๆ ครุ่นคิดหาทางเอาชนะเจ้ามืดจากเคนยาก็เลยไม่มีใครตามหา ตกเย็นเจ้านิดก็ยังไม่กลับมา พวกเราเลยเอะใจว่ามันชักจะยังไง ๆ เสียแล้วจึงพากันไปเรียนให้อาจารย์ที่คุมทีมมาทราบแล้วก็ช่วยกันตามหา แต่ก็ไม่พบ

เกือบจะถึงเวลาขึ้นเวทีอยู่แล้วเจ้านิดก็ยังไม่กลับมา พวกเราจึงพากันมาที่สนามมวย เผื่อว่าเจ้านิดจะไปรออยู่ที่โน่นแล้ว ที่สนามมวยก็ไม่มีแม้แต่เงาของเจ้านิด จนกระทั่งได้เวลาชกก็ไม่มีมิสเตอร์นิดขึ้นเวที เจ้ามืดจากเคนยาจึงขึ้นมาชกลมวืดวาด ๆ อยู่สักพักแล้วก็ชนะผ่านได้เหรียญทองไป

พวกเรากองเชียร์พากันกลับที่พักด้วยความผิดหวังมาก พอมาถึงที่พักก็เจอเจ้านิด อาบน้ํา ประแป้ง นอนฟังวิทยุอยู่อย่างสบายอารมณ์

“อ้าวไอ้นิด ทําไมไม่ไปสนามมวย ทําไมแกปล่อยให้ไอ้มืดชนะผ่านเอาง่าย ๆ อย่างนี้ แล้วนี่เอ็งไปอยู่ที่ไหนมา” พี่เทพยิงคําถามแบบหายใจแทบไม่ทัน

“ผมคิดดูแล้วว่าถ้าขึ้นขึ้นชกคงถูกทุบตายแน่ และถ้าผมตายแล้วใครจะช่วยเตี่ยผมใช้เงินล่ะ ผมก็เลยหลบพวกพี่ไปดูระบำคาบาเร่ต์ (ระบำโป๊ของแขก) แล้วก็กลับมานี่แหละ” เจ้านิดตอบคําถามด้วยเสียงละห้อยอย่างน่าเตะ พี่เทพขบริมฝีปากนิ่งอึ้งอยู่สักพักก็เบรคแตก

โธ่ ไอ้เวร”

ชัยชนะ โพธิวาระ - มวยแขก

หนังสือต่วย'ตูน เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ ปีที่ ๑๒ เล่มที่ ๖

Share:

Facebook
Twitter
Pinterest
LinkedIn

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Photobook

Highlight

Back Issues

On Key

Related Posts

หมาเจ้าเมือง

หมาเจ้าเมือง ร.ต.พิมล สุวรรณสุภา อันว่าบุญวาสนาของสัตว์โลก ทั้งผองจะเจริญขึ้นหรือเสื่อมลงนั้น ย่อมเป็นไปตามกฎแห่งกรรมของตนเองทั้งสิ้น ก่อกรรมใดที่ไม่ถูก กาลเทศะ, โลภโมโทสัน หรือเหิมเกริมจนลืมตนก็จะเป็นเหตุปัจจัยฉุดรั้งให้ต่ำลง แทนที่จะช่วยดึงให้สูงขึ้น สัจธรรมข้อนี้ผมได้มาจากชีวิตของ

รบกับเจ็ก

รบกับเจ็ก ประสงค์ บานชื่น ทางสื่อมวลชน เช่นวิทยุ โทรทัศน์ (เอ๊ย, ยังไม่มี) และหนังสือพิมพ์ ว่า “เชื่อผู้นําชาติพ้นภัย” “มาลานําไทยสู่มหาอํานาจ”

“โอฬาร” – หนังสือหัวเตียง

หนังสือหัวเตียง “โอฬาร” เมื่อเดือนก่อนมีนักเขียนชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งแวะมาหาผมที่สํานักงาน “สตูดิโอ เท็น” ถนนอรรถการประสิทธิ์ ตอนนั้นสิบโมงเช้าแล้ว ผมกําลังนั่งดูเพื่อนฝูงเขาตัดต่อภาพยนตร์สารคดีท่องเที่ยว ชุด “ชีพจรลงเท้า” อยู่ นักเขียนชาวฝรั่งเศสผู้นั้นยังหนุ่มอยู่

ตะเกียงเจ้าพายุดวงนั้น – ปัญญา ฤกษ์อุไร

ปัญญา ฤกษ์อุไร ชุดทางไปสู่จวน ตะเกียงเจ้าพายุดวงนั้น ปัญญา ฤกษ์อุไร หลังจากที่ปลัดเชิดและข้าพเจ้า กับนายพันเสมียนมหาดไทย ออกไปทําตั๋วรูปพรรณควาย ที่ตําบลตาพระยา ในคราวนั้นแล้วก็เว้นระยะไปประมาณ ๒-๓

ชีวิตเสมียนจ้าง-บัญชีผี

ชุดทางไปสู่จวน ชีวิตเสมียนจ้าง-บัญชีผี ปัญญา ฤกษ์อุไร วันนั้นเป็นวันจันทร์ตอนต้น ๆ เดือน ข้าพเจ้าไปอําเภอแต่เช้า เพราะเป็นวันที่นายอําเภอให้ข้าพเจ้าไปเริ่มทํางานเป็นเสมียนจ้างได้ เมื่อข้าพเจ้าไปถึงอําเภอนั้นเป็น เวลาแปดโมงเศษ ๆ

ชีวิตเมื่อปลายสงครามมหาเอเชียบูรพา

ชุดทางไปสู่จวน ชีวิตเมื่อปลายสงครามมหาเอเชียบูรพา ปัญญา ฤกษ์อุไร เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ อันเป็นปีที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ กําลังจะยุติ ข้าพเจ้าติดตามพ่อไปศึกษาอยู่โรงเรียนประจําอําเภอปากพนัง ซึ่งเป็นโรงเรียนรัฐบาลชาย