
ของเก่าเราลืม
ยกสุดท้าย
ฒ. ผู้เฒ่า
สะพานพุทธยอดฟ้า สะพานพระราม 5 โรงไฟฟ้าสองแห่ง เสียหายใช้การไม่ได้หมด ย่านรถไฟโรงงานมักกะสัน ย่านรถไฟบางซื่อ โรงปูนซีเมนต์ แหลก พื้นที่สี่พระยายันบางรักไหม้ราบเป็นจุล อีกมากมายหลายแห่งถล่มทลาย ผู้คนทรัพย์สมบัติวอดวายบาดเจ็บล้มตาย ซ้ํายังทิ้งทุ่นระเบิดบริเวณปากน้ําเจ้าพระยาอีกด้วย ทําให้เรือเข้าออกไม่ได้ ฝูงบินสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดแบบหว่านนาเปรอะไปหมด อย่างไปลงที่พระที่นั่งอนันตสมาคม พระที่นั่งอัมพรสถาน วังสวนกุหลาบ โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ชุมชนสวนอ้อยตรงข้ามวชิรพยาบาลตลาดศรีย่าน และอีกมากมายที่ไม่ได้เป็นเป้าหมายทางยุทธศาสตร์แม้แต่น้อย นี่ละครับสงครามที่ไทยไม่ได้ก่อ สี่ทุ่มวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๔๘๗ เจ้า บี-๒๔ ไม่รู้กี่ฝูงบินอยู่เหนือหัว หว่านนาลงมาย่านหัวลําโพง ที่ลานหน้าสถานีประชาชนรวมทั้งพนักงานรถไฟเสียชีวิตเกลื่อน ระเบิดทําความเสียหายแก่สถานีรถไฟสายปากน้ํา โรงแรมตุ้นกี่ โรงแรมหัวลําโพง โรงแรมราชธานี บ้านเรือนย่านตรอกสลักหิน สะพานฉลองกรุง โรงฆ่าหมู ใกล้วัดสามจีน
อีกพื้นที่นึงคือบางรัก ตรอกไก่ สถานีตํารวจยานนาวา เชิงสะพานสีลม โฮเต็ลทรอกาเดโร พวกนี้ถูกเข้าไปอาการพอเยียวยา ที่แจ๊กพอทโครมเดียวทลายลงเลยก็สถานทูตเยอรมัน ถนนสุรศักดิ์ กับโรงพิมพ์ประมวลมารค ถนนประมวล โรงพิมพ์นี้เป็นของ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (น.ม.ส.) ซึ่งมีหนังสือพิมพ์รายวัน “ประมวลวัน” และรายเดือน “ประมวลมารค” หนังสือชั้นแนวหน้าทั้งคู่ คืนนั้นตึกไปรษณีย์กลางระเบิดตกระเบิดในตรอกวัดม่วงแค และด้านหลังแถวริมแม่น้ําขนาด ๕๐ กก.ทั้งนั้น ลูกนึงตกเฉียดตัวตึกห่างไม่ถึง ๒.๐๐ เมตร ใกล้กับบันไดกลางด้านถนนเจริญกรุง แต่ด้าน กรรมสรรพาวุธทหารบกพยายามกู้แล้วไม่สําเร็จ เจ้าระเบิดลูกนั้นดําดินไปลึกมาก ดูเหมือนว่าได้มาแต่ส่วนหาง แต่ก็แปลกละครับที่ตึกไปรษณีย์กลางยืนหยัดอยู่ตลอดสงคราม โดยไม่มีระเบิดระคายผิวเลย ทั้งที่โดนเทใส่หลายครั้งหลายหนเหลือกําลัง
➒
ที่ร่ายยาวมาไม่ใช่อะไรหรอกครับ ตั้งใจจะว่าถึงสถานเอกอัครราชทูตเยอรมัน บริเวณใหญ่โตกว้างขวางรั้วเหล็กรอบขอบชิด ตัวตึกใหญ่ สถาปัตยกรรมแนวเดียวกับวังบางขุนพรหม อัครฐานโอ่อ่าสมฐานะมหาอํานาจผู้ท้าโลก ระเบิดดันลงตรงเป้า เศษปรักพังและทรัพย์สินต่าง ๆ ปลิวไปทั่วทิศ สถานทูตขอกําลังตํารวจและสารวัตรทหารเข้าไปรักษาพื้นที่ทันที อาคารคลังเสบียงพังลง เพราะแรงอัดของการระเบิด อาหารกระป๋องนานาชนิดทะลักออกมาเป็นต้นๆ บางส่วนกระเด็นออกไปเกลื่อนอยู่นอกรั้ว หลังสัญญาณปลอดภัยก็สนุกไทยมุงเค้าละ จากนั้นอีกสามสี่วันพรรคกระเป๋าเสื่อ มากระซิบ มีอาหารกระป๋องของยุโรปชั้นดีจะเอาอะไรล่ะ ไทยเราทันเหตุการณ์ยังงี้เสมอ หลังสงครามเยอรมันไม่ใช้ที่ถนนสุรศักดิ์ตั้งสถานทูต ทิ้งรกร้างอยู่นานปี กองตรวจคนเข้าเมืองจึงเข้าไปก่อสร้างอาคารสํานักงาน หนังสือพิมพ์ประมวลวัน และประมวลมารค ยุติกิจการโดยปริยายเพราะโรงพิมพ์เสียหายเกินซ่อม แต่ตัววังกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ น.ม.ส. ยังคงอยู่ ปัจจุบันเป็นของทายาทคือ ม.จ.ภีศเดช รัชนี เปิดห้องอาหารกัลปพฤกษ์อยู่ด้านหน้าริมถนนประมวล ม.จ.ภีศเดช ทรงเป็นเสรีไทยสายอังกฤษแฝงตัวเข้ามาปฏิบัติงานใน พ.ศ. ๒๔๘๘ เคยได้เฝ้าท่านแม่อย่างใกล้ที่สุด คือไปซุ่มอยู่คนละฝั่งถนนกับประตูวังเพียงได้ทอดพระเนตรเห็นท่านหญิงประทับรถสามล้ออกมาเท่านั้น งานซ่อนเร้นก็คืองานซ่อนเร้น
➑

การโจมตีทางอากาศไม่มีทีท่าว่าจะเบาบางลง มีแต่ถี่ขึ้น บางครั้ง บี-๒๙ เข้ามาเพียงลําเดียวก็ยังดี ฝ่ายยุทธการวิเคราะห์ว่าการโจมตีกรุงเทพฯ ส่วนหนึ่งเป็นการดึงความสนใจ เพื่อพรางปฏิบัติการอื่นของสัมพันธมิตร อย่างเช่นการส่งพลร่มลงที่ตําบลใดตําบลหนึ่งซึ่งมีความเป็นไปได้สูง เพราะญี่ปุ่นอ่อนกําลังลงไปมากแล้ว ญี่ปุ่นน่ะคิดไม่ซื่อกับไทยมาตลอดเวลา กองทัพเคยตัดสินใจจะยึดประเทศไทยเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๔๘๗ เวลา ๑๖.๐๐ น. แต่ พลเอกนากามูระหรือเรียกกันว่า แม่ทัพงิ สั่งระงับแผนเสียก่อน กองกําลังที่วิคตอเรียพ้อนท์ไม่ทราบคําสั่ง จึงปฏิบัติตามแผนเข้ายึดจังหวัดระนอง ฆ่า จ.ส.อ.สวัสดิ์ ดิษยบุตร ตาย ไทย-ญี่ปุ่น มองหน้ากันไม่สนิทระวังตัวคุมเชิงกันอยู่ตลอดเวลา ต่อมากองทัพบกเปิดรับยุวชนนายทหารจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปเข้าอบรมหลักสูตรนายทหารสารวัตรและยุวชนนายสิบไปอบรมหลักสูตรนายสิบสารวัตรเช่นกัน ตั้งค่ายฝึกอยู่ที่เขาทราย ชลบุรี ในบังคับบัญชา พล.ร.ต.หลวงสังวรยุทธกิจซึ่งในจุดมุ่งหมายจริงนั้นเป็นการเตรียมผู้บังคับหมวดและผู้บังคับหมู่ให้แก่กองกําลังเสรีไทย ที่เริ่มรวบรวมได้ค่อนข้างเป็นปึกแผ่นแล้ว เสรีไทยจากนอกประเทศทั้งสายอังกฤษอเมริกาเข้ามาตั้งข่ายสื่อสารและมาเป็นผู้ฝึกสอน สัมพันธมิตรส่งอาวุธยุทธภัณฑ์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่คอยเวลาตีแตกหักกับญี่ปุ่นเท่านั้น
➐
ข่าวแพร่ออกมาต้นเดือนพฤษภาคม ๒๔๘๘ ว่า เบนิโต มุสโสลินี จอมเผด็จการฟาซิสม์อิตาลีถูกฆาตกรรม เหล่าประชาชนที่ขึงเครียดเกลียดชังนําศพไปแขวนประจานไว้นอกกรุงโรม แบบแขวนเท้าเอาหัวลง เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน อีกสองวันต่อมาคือ วันที่ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ฟูห์แรร์ของนาซีเยอรมันผู้เกรียงไกรก็ยิงตัวตายพร้อมกับสุภาพสตรีชื่อ อีวา บราวน์ เป็นอันอ่านได้ว่าศึกยุโรปใกล้อวสานเต็มที่แล้ว ตานี้ก็ยุ่งละซิครับ เหลือพี่ยุ่นมหามิตรแสดงเดี่ยวในเอเชียบูรพา ยังงี้ไม่รอดแน่ จะเลือดเข้าตาบ้ามาขย้ําไทยก็ไม่ใช่หมูซะแล้ว ไทย-ญี่ปุ่นอยู่ร่วมกันอย่างกินเหลี่ยมกินคูกระทั่งวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๘๘ ญี่ปุ่นจะวัดใจไทยประการใดก็เหลือเดา พลเอกนามากุระ หรือ แม่ทัพงิ ได้เชิญนายทหารระดับสูงของกองทัพไทย ไปในงานเลี้ยง (เครื่องแบบปกติขาว) มองกันเหมือนกันว่าญี่ปุ่นจะเล่นไม่ซื่อเช่นแผนวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๔๘๗ รึเปล่า ไทยซะอย่างกลัวอะไร ที่จะหนีนั้นไม่มี ผู้ใหญ่ไปร่วมงานตามปกติ ไม่มีอะไรในกอไผ่ ญี่ปุ่นจะทุบหม้อข้าวนั้นไม่ฉลาดแน่ กําลังที่ถอยจากสมรภูมิพม่าเข้ามาล้วนแต่อ่อนเปลี้ยอิดโรย เครื่องแบบเก่าขาดวิ่นโทรมเต็มกิน หมดสิ้นสง่าราศีของกองทัพพระเจ้าจักรพรรดิที่เคยฮึกเหิม เชื่อตัวเองว่าจะตีไปได้ถึงครึ่งโลก ให้นายพลโตโจไปเขย่ามือกับฮิตเลอร์ที่เตอรกี
➏
➎

➍
เผ่นกลับบ้านทันที ถ้าเป็นจริงอย่างว่าก็เละทั้งเมือง ญี่ปุ่นต้องออกมาป้องกันตัวเอง กองกําลังรักษาพระนคร กองพลที่ ๑ ในบังคับบัญชา พล.ต.หลวงวีรวัฒนโยธิน คงเปิดฉากเล่นงานญี่ปุ่นแน่ เพราะในทางลับ ๆ รู้อยู่ว่าเป็นกําลังหลักที่สนับสนุนเสรีไทยในประเทศ ๆ ทีนี้ก็ไม่รู้หน้ารู้หลังล่ะ ไทย-ญี่ปุ่นต่างสร้างรังปืนกลและคูยิ่งสลับกันอยู่ทั่วไป ละแวกบ้านผมนั้นน่าเป็นห่วงไม่น้อย ในตรอกคนละฟากถนนมีอู่ต่อเรือของญี่ปุ่น กําลังรักษาอู่ ๒ หมู่ อาวุธหลักปืนกลเบา ๘ มม. ๒ กระบอก ผู้บังคับหน่วยยศร้อยตรี จะออกมาแผลงฤทธิ์หรือเปล่าไม่รู้ได้ บ้านผมอยู่ริมถนนใหญ่มีตรอกขนาบทั้งสองด้านตรอกด้านขวามีระดับ เสนาธิการกองทัพหนึ่ง รัฐมนตรีกลาโหมหนึ่ง รัฐมนตรีพลเรือนหนึ่ง อธิบดีหนึ่ง และข้าราชการอื่น ตรอกทางซ้ายต้นตรอกเป็นบ้านนายพลโทนอกราชการ อดีตแม่ทัพกองทัพภาคที่ ๑ ปลายตรอกเป็นบ้านครอบครัวรัฐมนตรีมหาดไทย ที่ว่าน่าเป็นห่วงก็ตรอกทางขวามือนี่แหละ เพราะมีนายทหารญี่ปุ่นยศร้อยเอกมาป้วนเปี้ยนอยู่เป็นอาจิณ ผมกลับมาคอยดูเหตุการณ์อยู่
➌

➊
วันที่ ๒๖ กรกฎาคม สัมพันธมิตรประกาศที่เมืองปอดสดัมให้ญี่ปุ่นยอมแพ้โดยปราศจากเงื่อนไข แสดงว่าญี่ปุ่นไปไม่ได้ไกลแล้วซึ่งสัมพันธมิตรรู้ดี แต่วันที่ ๒๙ กรกฎาคม เวลา ๑๒.๓๐ น. อีกน่ะแหละ กลับมาเล่นงานย่านรถไฟบางกอกน้อยยับเยิน ทั้งที่หมดความจําเป็น อย่างไรก็ดีหลังจากสัญญาณปลอดภัยในวันนั้น ก็เป็นอันสิ้นสุด ของเสียง “หวอ” ที่ทําให้ต้องวิ่งหัวซุกหัวซุนตลอดไป เพราะในวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๘๘ สหรัฐฯ เล่นของหนัก นําเอาระเบิดปรมาณูไปทิ้งใส่เมืองฮิโรชิม่า วันที่ ๙ เอาไปโยนใส่เมืองนางาซากิอีกลูก ทั้งสอง คราวคนตายไปถึง ๒๕๐,๐๐๐ คน
วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๘๘ ญี่ปุ่นยอมแพ้ต่อสัมพันธมิตร
วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๘๘ ประกาศพระบรมราชโองการสันติภาพในสงครามมหาเอเชียบูรพา
ไม่มีเสียงไชโยครั้งใดจะดังกึกก้องทั่วแผ่นดินไทยเท่าครั้งนั้น
ญี่ปุ่นแพ้ ไปเข้าค่ายเชลยแทนฝรั่ง ก็จบแล้วซิครับ
ยกสุดท้าย - ฒ. ผู้เฒ่า
หนังสือต่วย'ตูน เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ ปีีที่ ๒๔ เล่มที่ ๑๒
