Recommend

Recent Posts

IMAGE February 2014

IMAGE Magazine vol.27 no.2 February 2014 METAPHORIC Model ญาดา วิลลาเรจ, พิติ ชินสำราญ & ณัฐกฤต เกษตรภิบาล Stylist Benyada Pruedihinalin Photographer Punsiri

แพรว 827 : สินจัย เปล่งพานิช & ฉัตรชัย เปล่งพานิช

แพรว Praew Magazine vol. 35 no. 827 February 2014 ‘ธงชาติ’ และเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ ของความเป็นไทย เราจึงยืนตรงเคารพธงชาติ เพื่อความเป็นเอกราชของบรรพบุรุษไทย Model สินจัย เปล่งพานิช และ ฉัตรชัย

ยาหมอเยิ้ม

ยาหมอเยิ้ม

บุญยู้ ภูพาน

ป่าที่พวกเราไปตัดทางสายใหม่ผ่านนั้น ล้วนแต่ภูเขาสูงชันติดกันเป็นพืด อุดมสมบูรณ์ด้วยไม้สักต้นกําลังเหมาะ ที่จะผลิตเป็นไม้เถื่อนได้อย่างสบาย ทั้งสักทอง, สักขี้เป็ด เขียวชะอุ่มในหน้าฝนและโกร๋นใบในหน้าแล้ง

เซอร์เวย์เป็นชุดแรกที่บุกป่าเข้าไปสํารวจแนวก่อสร้างตามแบบ หน่วยเคลียริ่งตามเข้าไปถางป่าออกก่อนที่แทรกเตอร์จะเข้าไปขุดตอ และทําทางลําลองเพื่อขนอีควิปเมนต์ต่าง ๆ เข้าหน้างานตรงไหนมีลําห้วยก็ประกอบสะพานแบลี่ย์ข้าม หรือร่องน้ําเล็ก ๆ เพียงวางท่อระบายน้ําก็พอ

ไม้ที่ว่างาม ๆ นั้นพอหน่วยเคลียริ่งตัดโค่นลงแล้ว รถของอ.อ.ป.องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้จะชักลากออกไปเอง มิฉะนั้นจะมีผู้ประสงค์ดีมาออกแรงชักลากช่วยไปแปรรูปใช้เองก็เป็นได้
ตรงห้วยที่อยู่ระหว่างภูเขาสองลูกนั้น ตามแบบกําหนดให้เราต้องวางท่อเหลี่ยมบ๊อคซ์คัลเวิท แต่พอถึงหน้าฝนโครงการที่ว่าไว้ต้องยกเลิกเด็ดขาด เมื่อน้ําป่าหลากมาอย่างหนักหน่วง อินสะเป๊คเตอร์ที่ควบคุมงานเห็นแล้วต้องทําตาปริบ ๆ เพราะกระแสน้ําที่กระโจนพรวดพราดมาตามช่องเขานั้นพอ ๆ กับน้ําในเขื่อนพัง ไฉนเลยไอ้ท่อเหลี่ยมที่หลับหูหลับตาเขียนไว้ในแบบจะทานได้ ถึงทําก็ทําได้อยู่หรอก หากถนนที่ยกระดับสูงเป็นเขื่อนนั้นถูกน้ํามันชวนไปเที่ยวด้วย ผู้ออกแบบและผู้ควบคุมงานจะเอาหน้าไปซุกไว้ตรงไหน ?

ก็เลยต้องเปลี่ยนแบบใหม่เป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก จึงจะเป็นแนวร่วมกับน้ําป่าได้ และสะพานนทองสร้างจากยอดเขาต่อยอดเขากันเลย สูงเกือบ ๔๐ เมตร คํานวณค่าก่อสร้างแล้วห้าล้านกว่า อัตรานี้ในสมัยที่ค่าแรงกุลลีขั้นต่ําเพียง ๑๖ บาทนะครับ

การนี้เองบรรดา ช่างฝีมือทั้งปวง ถูกเรียกตัวมารบกับสะพาน ทั้งช่างประกอบ, ช่างไม้, ช่างเหล็ก ตลอดจนนายช่างที่เจนจัดกับงานสตรั๊คเจอร์ ถูกหมายหัวให้มาคุมงานแทบจะเหยียบหัวแม่ตีนกันตาย

ดาราออกฉากกันมาแล้วครับ…..

พี่เยิ้ม โฟร์แมนช่างไม้ผู้ตาเยิ้มทุกเวลาเมื่อเห็นเหล้า ร่างอ้วนท้วนเปล่งปลั่งด้วยดีกรี ไว้หนวดเฟิ้มเดาะฟันเลี่ยมทองสอง เอาชายเสื้อเข้าในกางเกงสมกับเป็นโฟร์แมนแต่ใส่รองเท้าแตะ มีเฟอร์นิเจอร์เสียบอยู่ที่เข็มขัดคือตลับเมตรที่นายช่างทําทานให้ คุณลักษณะข้าพเจ้าเคยเขียนถึงแล้วในเรื่อง ‘ห้องน้ําสามัคคี’ ลงในต่วย’ตูนนี้แหละ พี่เยิ้มทําตนเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีอย่างหนึ่งคือ แกจะกินเหล้าได้ตลอดเวลาที่ลืมตาขึ้น แต่ในรอบ ๓ เดือนที่เข้าพรรษาพี่เยิ้มจะไม่แตะต้องเด็ดขาด

ตาแก้ว โฟร์แมนช่างเหล็ก ผู้มีเรือนร่างเหมือนไม้กระดานแปรรูป ผิวดําเนียนอายุงานและกินเหล้าพอฟัดพอเหวี่ยงกับพี่เยิ้ม ใส่แว่นสายตาดแบบก่อสร้างที่เขาพิมพ์เป็น ภาษาอังกฤษได้แตกฉาน ทั้งที่เวลาเซ็นหนังสือได้เพียงชื่อตัวเอง ถ้าเอาเมียมายืนเทียบกันแล้วจะมองไม่เห็นตาแก้วเลย เพราะเมียของแกนั้นบริบูรณ์เนื้อหนังเหมือนนักมวยซูโม่ของญี่ปุ่น

พี่เสริฐ โฟร์แมนงานคอนกรีต ยังหนุ่มแน่นแต่เนื้อคงเหลวแล้ว เหล้าไม่แตะบุหรี่ไม่สูบ ชอบอ่านหนังสือรายสัปดาห์ประเภทมีนิยายที่มีรูปสี่วับ ๆ แวม ๆ เอาหนังสือใส่กระเป๋าไปทุกวัน นัยว่าติดนิยายสองร้อยห้าสิบตอนจบอย่างเข้ากระดูกดํา พูดจาสุภาพเรียบร้อย แต่คนงานเกรงนัก เพราะพี่แกเวลาทํางานแล้วเอาจริงเอาจัง

นายช่างผู้ดูแลงานสะพานนี้ อายุแก่กว่าพี่เยิ้มและตาแก้ว เพราะข้าพเจ้าเคยได้ยินทั้งสองโฟร์แมนเรียกนายช่างลับหลังว่าพี่ แต่คนงานผ่าเรียกแกว่า ‘ปู่’ มีฝีมือทางงานด้านโครงสร้างละเอียดละออทุกอย่างแม้แต่รีพอร์ตที่ส่งเข้าออฟฟิศเกลียดคนกินเหล้าแต่ไหงถึงได้ชอบตาแก้วกับพี่เยิ้มก็ไม่ทราบได้ เห็นงานไหนงานนั้นถ้ามีสองพระหน่อนี้ก็ต้องเห็นนายช่างนี้เหมือนกัน

จ้าวพ่อสมญานามของโปรเจ็คท์แมนาเยอร์ เมื่อเห็น ๔ สิงห์มาประจําการแล้ว ตะแกยิ้มกริ่มสบายใจได้ไม่ค่อยมายุ่งด้วย กลับไปว้ากเพ้ยโขมงโฉงเฉงกับพวกงานดินแทน จึงนับว่าหน่วยสตรั๊คเจอร์สร้างสะพานนี้โชคดีเหลือหลาย ที่มิได้ยินคํามธุรสอวยพรกับการทํางานอย่างเอาเป็นเอาตายของจ้าวพ่อ ข้าพเจ้าเคยเอามาแสดงตัวแล้วใน ‘จ้าวพ่อ’ ก็ลงโรงที่อีกต่วย’ ตูนนี้เอง

ส่วนข้าพเจ้าผู้มีตําแหน่งจับฉ่ายไม่แน่นอน ชอบแวะมาที่สะพานนี้เป็นกิจวัตรวัตร เนื่องจากละแวกนี้ ส.ร.ถ. หรือ ส.ร. ถองที่พวกคนงานหิ้วมาฝากโฟร์แมนเสมอ มีรสชาติเมาอร่อยดีนัก กับแกล้มนั้นบางที่มีเนื้อเก้งบ้าง กระต่ายบ้างที่มีชุกชุมถึงขนาดเช้า ๆ หรือค่ำรถมักชนได้บ่อย คงเป็นเพราะเปิดป่าใหม่สัตว์พวกนี้ไม่คุ้นเคยรถยนตร์ จึงออกมาเพ่นพ่านตามถนนราวกับอยากเห็นหน้าไอ้พวกชาติคน ว่าหน้าตาเหมือนไอ้ชาติหมาที่ใคร ๆ เขาด่ากันไหม ?

เที่ยงวันหนึ่ง-ข้าพเจ้าแวะมาร่วมวงกินข้าวกับเขาอย่างเก่า พี่เสริฐอิ่มข้าวแล้วรีบกางหนังสือออกอ่านตามเคย ปล่อย ให้ตาแก้วกับพี่เยิ้ม หยอกเย้ากันแรง ๆ เป็นการย่อยอาหาร เผอิญวันนั้นข้าพเจ้ามีหนังสือพิมพ์รายวันเก่า ๆ ที่หยิบติดมือมาจากร้านกาแฟ อ่านเล่นเอาอย่างพี่เสริฐบ้าง ก็ไอ้ข่าวพาดหัวหน้าหนึ่งเกี่ยวกับการเห่อ ‘กวาวเครือ’ ว่าเป็นยาอายุวัฒนะ เห็นมีพาดหัวข่าวอยู่หลายวัน ว่าคนแก่ที่บักโกรกแล้วกินหัวกวาวนี้จะคึกคักยังกะม้า เตะปี๊บได้สบายมาก ผู้หญิงที่นมเหี่ยวยานเป็นถุงกาแฟเหมือนเพลงลูกทุ่ง จะเต่งตึงเหมือนกันชนรถยนตร์ชั้นเยี่ยม อะไรทํานองนั้น

ในป่าที่กําลังทํางานอยู่นี้ ข้าพเจ้าเคยเห็นตอนหน้าหนาวที่ไม้เถาชนิดหนึ่ง พากันใบหล่นผลิตดอกสีแดงงามเต็มเถา ช่อดอกเหมือนดอกแคขาวมองเห็นได้แต่ไกล เมื่อแทรคเตอร์ปาดหน้าดินออก จะเห็นว่าไอ้ไม้เถาดอกงามนี้มีหัวคล้าย ๆ มันแกวสีขาวหัวใหญ่ ถามไถ่คนงานชาวพื้นบ้าน เขาบอกว่านี่แหละ ‘หัวจาน’ หรือ ‘จานเครือ’ กินก็ได้เป็นยาสมุนไพรเสียด้วย ข้าพเจ้าไม่นิยมสะสมสารพัดโรค จึงไม่ได้สนใจและเกือบจะลืมเสียแล้ว หากไม่ได้อ่านข่าวที่หนังสือพิมพ์ประโคมข่าวก็คงนึกไม่ออก บางคนก็เรียกกวาวเครือบ้าง ตานเครือบ้าง จานเครือบ้าง ซึ่งแล้วแต่สําเนียงแต่ละท้องถิ่น

ยามวันหยุดงานบางคนมีปืนลูกกรด มักชวนไปหายิงนกยิงหนูไปตามเรื่อง และเป็นการหากับแกล้มเปลี่ยนรสชาติในตัว เห็นพวกนกแก้ว, นกตะขาบป่า และนกป่าตัวเล็กๆ มาจิกกินน้ําหวานจากดอกกวาว หรือคอยจับกินแมลง ที่มาไต่ตอมเกสร

“คุณเสริฐอ่านจบแล้วขอรูปสีไอ้ที่เจริญหูเจริญตาด้วยนะ จะเอาไปติดฝาห้อง” ตาแก้วเสนอขึ้นเมื่อเห็นพี่เสริฐวางหนังสือ

“เอาซี… เดี๋ยวจะจบแล้ว” พี่เสริฐว่า ส่วนพี่เยิ้มรีบแหย่ทันที

“ลูกมึงตั้งครอกแล้วเอาไปให้เด็กใจแตกทําไม แค่แม่ไอ้หนูมันกูว่ามึงก็ไม่มีปัญญาจะทําอะไรได้ กระสุนของมึงมันหมดตั้งแต่ปีมะโว้แล้วไม่ใช่เรอะ เป่าขี้เถ้ายังไม่คลุ้งริจะทําเป็นหนุ่มนมแตกพาน”

“ไอ้-แม่” ตาแก้วว่า พี่เสริฐหัวเราะ 

“คนหยั่งมึงต้องหายาบํารุงให้ถึงฝั่ง นั่นเห็นไหม… ที่คุณยู้อ่านหนังสืออยู่นั่น รูปที่เขาลงคนที่เขากินกวาวเครือแล้วนมต้มยังกะแตงโม แถวบ้านหัวกวาวถมถืดไป” พี่เยิ้มแนะ “กินแล้วกําลังเหมือนช้างสาร ที่กูล่ําสันมาจนป่านนี้ก็เพราะไอ้ยานี้แหละ”

“อย่าดีกว่าไอ้เยิ้ม มึงอ่านหนังสือไม่ออกด้วยซ้ํา ทําเป็นรู้ดีได้” ตาแก้วขัดคอ

“ไม่เชื่อให้คุณยู้หรือคุณเสริฐอ่านให้ฟังซี”

 พี่เสริฐจบเรื่องที่แกติดพอดี เลยขอหนังสือพิมพ์จากข้าพเจ้าไปพลิก ๆ ดูรูป พยักหน้าหงึก ๆ

“จริงของพี่เยิ้ม หัวกวาวเครือหรือหัวจานจริง ๆ ด้วย ทางกรุงเทพฯ โน้นกําลังดังที่เดียว กินไม่เกินอาทิตย์เห็นผลทันตา นี่ไง-ยายคนนี้แก่งั่กแล้ว แกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า ตอนนั้นแกตัวผอมลีบยังกะจิ้งจกถูกประตูหนีบ กินไอ้หัวนี้เข้าไปรู้สึกกระปรี้กระเปร่า กินข้าวได้อร่อย นมต้มอวบอูมเต่งตึง เดี๋ยวนี้แกว่ายังกะเกิดเป็นสาวใหม่…..” 

พี่เยิ้มหัวเราะแสดงความมีชัย “เมื่อก่อนกูเด็ก ๆ ยังไม่เข้างานหุ่นเหมือนมึงนี้แหละ แม่กูหาขุดเอาหัวกวาวมาปิ้งไฟจนหอมให้กูกินไม่เท่าไรหรอก โตวันโตคืนจนสาว ๆ เห็นแล้วนอนไม่หลับ ยายตุ่มเมียมึงก็เหอะน่าลองจึงไม่คาบไปก่อนมีหวังป่านนี้มีลูกเป็นฝูง”

“เดี๋ยวยัน .. อย่าลามเป็นขี้กลาก ตาแก้วยกเท้า ชักหูผึ่ง ควักบุหรี่ออกมาจุดสูบแก้เขิน พี่เยิ้มยังบรรยายสรรพคุณต่อ

“ตรงแถว ๆ นี้เยอะเชียว หน้านี้มันลงหัวกําลังออกดอกพอดีเลย มึงไม่รู้จักถามคนงานดูก็ได้ ไม่เชื่อกูแล้วจะไปเชื่อหมาที่ไหน ปู่ย่าตาทวดของกูล้วนแต่ตระกูลหมอแผนโบราณทั้งนั้น”

ตาแก้วดูดบุหรี่ครุ่นคิด สายตาดูรูปจากหนังสือที่พี่เสริฐวางไว้ ได้เวลาทํางานบ่ายโมงตรง ข้าพเจ้ารีบโฉบหนีไปหาหน้างาน ทิ้งหนังสือพิมพ์นั้นไว้เพื่อมีคนงานจะเอาไปฉีกมวนยาดูดบ้าง

ที่ร้านกาแฟหน้าแคมป์ ข้าพเจ้าออกมากินโอยัวะแต่เช้าไล่ทั้งความหนาวและความเมา ที่เมาจนหัวทิ่มหัวตำตั้งแต่เมื่อคืน พวกคนงานเริ่มทะยอยเข้ามาร้านกาแฟรอรถบริการ พี่เยิ้มเพิ่งจะหิ้วปิ่นโตออกมาเหมือนกัน ส่วนพี่เสริฐนั่งรถปิคอัพประจําตําแหน่งมาจอดหน้าร้าน เปิดประตูลงมาท่าท่างอีบัดอีโรย

“เมื่อคืนแทบไม่ได้นอน….” พี่เสริฐเปรยเมื่อสั่งกาแฟแล้ว

“เทปูนดึกละซี….” ข้าพเจ้าถามไปยังงั้นเอง

“เปล่า เมียตาแก้วนะ มาปลุกขอยืมรถตั้งแต่เที่ยงคืน เอาตาแก้วไปอนามัย”

“มันเป็นอะไรละ เมื่อคืนท่าจะกินเหล้ากะลูกน้องหนักไปกระมัง ไอ้ผมก็ผ่าไปกินเหล้าที่อื่นเลยไม่ได้เจอกัน” พี่เยิ้มว่า

“ไม่ใช่- ปวดท้อง ทั้งขี้ทั้งรากไม่หยุด”

“อ๋อ ไอ้แก้วมันเป็นโรคเหยาะแหยะยังงี้มาหลายครั้งแล้ว มันชอบกินเหล้าแล้วไม่ยอมกินข้าวหรือกับแกล้มซักคํา พี่เยิ้มหัวเราะและวิจัยราวกับเป็นแพทย์ประจําตัวตาแก้ว

“งั้นผมต้องไปดูแกหน่อย” ข้าพเจ้าออกความเห็น พี่เยิ้มเห็นดีด้วย แต่พี่เสริฐขอตัวเพราะนายช่างนัดให้ไปดูงานแต่เช้าอาจจะได้เทคอนกรีต

“เอารถผมไปเลย ผมเกาะรถบริการไปหน้างานเอง” พี่เสริฐว่าและวางกุญแจรถให้

ที่อนามัย.. ตาแก้วนอนหายใจแหม็บๆ ในห้อง ตัวที่ผอมดําอยู่แล้วยิ่งกรอบดํายิ่งกว่าถูกไฟลน เบ้าตากลวงโบ๋ แขนขาที่เห็นนั้นลีบเล็กพอ ๆ กับเด็กเป็นตาลขะโมย สายน้ําเกลือยังระโยงห้อยอยู่ราวแขวน เมียของแกตาแดงกร่ำเหมือนไม่ได้หลับมาทั้งคืน

“เมื่อวานนี้ตอนมืดค่ําเลิกงานมาแล้ว พี่แกเอาหัวมันอะไรไม่รู้มาจนเต็มถุงปูน เหล้ายาที่เคยกินก็ไม่เห็นวานเด็กไปซื้อ นั่งเผาหัวมันนั้นเสียหอมเชียว ฉันได้กลิ่นยังนึกอยาก ไอ้พวกลูก ๆ มันก็คงอยากจะขอพ่อกินบ้าง พี่แกก็เหลือเกินช่างใจจืดใจดําไม่ยอมให้ใคร แถมตะเพิดลูกซะอีก ตัวเองปิดห้องหลบหน้ากินคนเดียวจนหมดถุง ข้าวปลาไม่ยอมกิน…”

“มันคงซื้อหัวมันแกวมันเทศจากชาวไร่เขามากระมัง” พี่เยิ้มพูดเบา ๆ เท่านั้นแหละ ตาแก้วลืมตาขึ้นอย่างฉับพลันจ้องหน้าพี่เยิ้มเขม็ง เมียยังเล่าฉอดๆ

“ไม่ใช่หรอก…..พี่เขาว่ามันเป็นยา ไม่ให้เด็กกินมันจะเสียคน ซักสองทุ่มเห็นจะได้ พี่แกดิ้นโผงผาง คุณเอ๊ย….. โทษเถอะทั้งขี้ทั้งราก ฉันเอากฤษณากลั่นเหยาะใส่เหล้าให้ก็ไม่ทุเลา กางเกงที่หลับที่นอนหมอนมุ้งเลอะเทอะเหม็นคลุ้ง”

ข้าพเจ้าชักนึกอะไรออกบ้างแล้ว ต้องกลั้นหัวเราะจนปวดแก้ม

“ไอ้เยิ้ม..” เสียงตาแก้วลอดไรฟันออกมา “ไอ้-แม่” แกด่าถึงบรรพบุรุษพี่เยิ้ม

“เป็นไงบ้างวะแก้ว”

“ไม่ต้องเยาะกู กูยังไม่ตายหรอกเยิ้ม มึงมาก็ดีแล้วกูลุกได้เมื่อไหร่ต้องเจอกะกู กูจะเลาะฟันมึงให้หมดปาก เอาเลือดหัวออกซักสิบเข็มถึงจะคุ้ม”

ตอนนี้ข้าพเจ้าต้องปล่อยก๊ากออกมาจนได้เมื่อได้ยินพี่เยิ้มปลอบคู่หูอย่างเวทนาว่า

“เรื่องเหล้านะกูกะมึงได้เจอกันแน่ ตอนนี้อยู่รักษาตัวให้แข็งแรงดีกว่า กว่าจะลุกไปทํางานได้คงอีกนาน กูไม่ได้

แกล้งมึงจริง ๆ วะ ว่าแต่ว่า พรุ่งนี้กูจะให้ลูกน้องไปหาขุดหัวกวาวมาฝากมึงซักกระสอบ จะได้บํารุงกําลังให้อ้วนไว้กันตอนมึงต้องพักฟื้นอีก ดีไหมวะ”

“ไอ้หมอฉิบหาย !” ตาแก้วลุกทะลึ่งพรวดราวถูกไฟจี้และด่าสุดเสียง พร้อมกับพี่เยิ้มเต้นฉากไปปักหลักหัวเราะที่บังตา ปะทะกับใครคนหนึ่งที่โผล่เข้ามาพอดี

คุณหมอประจําอนามัยนั่นเอง ท่านทำหน้าเหรอหราไม่เข้าใจที่ถูกคนไข้ด่า แต่ตาแก้วผ่าตาเหลือกค้าง เห็นแต่พี่เยิ้มหมอสมุนไพรยกมือไหว้ ขอโทษคุณหมออนามัยประหลกๆ

บุญยู้ ภูพาน - ยาหมอเยิ้ม

หนังสือต่วย'ตูน เดือนเมษายน ๒๕๒๕ ปีีที่ ๑๑ เล่มที่ ๘

Share:

Facebook
Twitter
Pinterest
LinkedIn

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Photobook

Highlight

Back Issues

On Key

Related Posts

หมาเจ้าเมือง

หมาเจ้าเมือง ร.ต.พิมล สุวรรณสุภา อันว่าบุญวาสนาของสัตว์โลก ทั้งผองจะเจริญขึ้นหรือเสื่อมลงนั้น ย่อมเป็นไปตามกฎแห่งกรรมของตนเองทั้งสิ้น ก่อกรรมใดที่ไม่ถูก กาลเทศะ, โลภโมโทสัน หรือเหิมเกริมจนลืมตนก็จะเป็นเหตุปัจจัยฉุดรั้งให้ต่ำลง แทนที่จะช่วยดึงให้สูงขึ้น สัจธรรมข้อนี้ผมได้มาจากชีวิตของ

จากน้ํามันถึงปลาทู

จากน้ํามันถึงปลาทู ยุติพงษ์ ตั้ง เมื่อพูดถึงการค้าระดับประเทศรอบ ๆ มหาสมุทรแปซิฟิกใต้ หรือนัยหนึ่งการตั้งตัวเป็นนายหน้าให้สินค้าผ่านมือไปสู่ประเทศคู่ขา ใครไม่รู้จักสิงคโปร์ก็บ้าแล้ว เมื่อสวัสดีกับเมืองโชนันในอดีตแล้ว ก็น่าจะเลยไปสัมผัสมือกับโก๊ะจกตง ทายาทมือระดับพระกาฬของลีกวนยิวไว้หน่อยก็จะดี อย่างน้อยก็ในฐานะของผู้สืบสายเลือดคนแรกที่ได้รับการถ่ายทอดวิทยายุทธ์ในสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์อย่างครบถ้วนทุกกระบวนท่า

รบกับเจ็ก

รบกับเจ็ก ประสงค์ บานชื่น ทางสื่อมวลชน เช่นวิทยุ โทรทัศน์ (เอ๊ย, ยังไม่มี) และหนังสือพิมพ์ ว่า “เชื่อผู้นําชาติพ้นภัย” “มาลานําไทยสู่มหาอํานาจ”

มวยแขก

ชุดแขกอมยิ้ม มวยแขก ชัยชนะ โพธิวาระ คุยกับแขกไม่ว่าเรื่องใดก็ตามอาบังแกต้องมีเรื่องมาเกทับคู่สนทนาอยู่เสมอ เช่นคุยถึงเรื่องรถแขกเขาต้องบอกว่ารถที่ผลิตในอินเดียแข็งแกร่งที่สุด รูปร่างที่สวยงาม แถมชื่อยังไพเราะซะด้วยคือยี่ห่อแอมบาสดอร์ ยิ่งมอเตอร์ไซค์ยิ่งชื่อเพราะใหญ่คือยี่ห้อ YEZDEE ถ้าคุยถึงเรื่องพระเจ้าบังแกก็จะคุยจนน้ําลายฟูมปากอีกนะแหละว่าอินเดียเป็นดินแดนของพระเจ้าและมีพระเจ้าอยู่ที่นี่มากที่สุด เรียกว่าคุยเรื่องไหนมาแขกเป็นคุยทับไปได้อย่างสบาย

“โอฬาร” – หนังสือหัวเตียง

หนังสือหัวเตียง “โอฬาร” เมื่อเดือนก่อนมีนักเขียนชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งแวะมาหาผมที่สํานักงาน “สตูดิโอ เท็น” ถนนอรรถการประสิทธิ์ ตอนนั้นสิบโมงเช้าแล้ว ผมกําลังนั่งดูเพื่อนฝูงเขาตัดต่อภาพยนตร์สารคดีท่องเที่ยว ชุด “ชีพจรลงเท้า” อยู่ นักเขียนชาวฝรั่งเศสผู้นั้นยังหนุ่มอยู่

ตะเกียงเจ้าพายุดวงนั้น – ปัญญา ฤกษ์อุไร

ปัญญา ฤกษ์อุไร ชุดทางไปสู่จวน ตะเกียงเจ้าพายุดวงนั้น ปัญญา ฤกษ์อุไร หลังจากที่ปลัดเชิดและข้าพเจ้า กับนายพันเสมียนมหาดไทย ออกไปทําตั๋วรูปพรรณควาย ที่ตําบลตาพระยา ในคราวนั้นแล้วก็เว้นระยะไปประมาณ ๒-๓