Recommend

Recent Posts

Seventeen 136 : Selena Gomez

SEVENTEEN Magazine Thailand vol. 11 no. 136 March 2014 GIRL POWER! LET YOUR HAIR DOWN BOHEMIAN STYLE Model ณสุดา จิรศักดิ์หิรัญ

Nylon Guys 1 : มาริโอ้ เมาเร่อ

NYLONGuys Thailand 1 : มาริโอ้ เมาเร่อ SUPER MARIO มาริโอ้ เมาเร่อ ดังยกกำลังสอง AMERICAN BOY Model Mario Maurer (มาริโอ้ เมาเร่อ) ภาพ J.SURAT

หนังหน้าไฟ – แก้ว แกมทอง

เด็กบ้านสวนบางลําเจียก

หนังหน้าไฟ

แก้ว แกมทอง

ก่อนอื่นก็เห็นจะต้องกล่าวถึงเรื่องไฟเสียก่อน ไฟที่ผู้เขียนกําลังจะสาธยายต่อไปนี้ ก็คือไฟที่เขาเอามาประชุมท่านผู้หนึ่งผู้ใดที่ท่านไม่ยอมอยู่กะลูกกะหลาน ด่วนตัดช่องน้อยแต่พอตัว ขอลาหลบหน้าไปก่อน เขาก็เอาท่านมาวางบนปะรําพิธีแล้วก็พากันเอาไฟมาประชุมท่าน

เอ ไอ้เริ่มแบบนี้มันก็ดูเป็นเย้อ ยืดยาด ไม่ทันอกทันใจยังไงก็ไม่รู้ น่ารําคาญด้วย เอาเป็นว่า ไฟที่เขาเผาศพก็แล้วกันรู้เรื่องดี

แต่ก่อนนี้ในการเผาศพนั้น ถ้าเป็นศพท่านผู้มีกะตังค์หน่อย เขาก็จะมีมหรสพให้ดูเป็นการเฉลิมฉลอง คืนหนึ่ง สองคืนหรือสามคืน ก็แล้วแต่จํานวนกะตังค์ที่ลูก ๆ หลาน ๆ ได้รับมรดกตกทอดมาจากท่านที่เป็นศพนั้น

มหรสพที่ว่านั้น ก็เห็นจะไม่พ้นหนังตะลุง หนังภาพยนตร์ แล้วก็หนังสด สามหนังนี่เท่านั้น ส่วนจะมีหนังอะไรอีกที่นอกจากที่กล่าวเล็ดลอดไปจากการที่ผู้เขียนได้เห็น ผู้เขียนก็เห็นจะต้องขออภัยไว้ เพราะเคยเห็นแต่แค่นั้นจริงๆ ส่วนมหรสพอย่างอื่นนั้น ก็คงจะมีบ้าง เช่นลิเก หรือโขน แต่คงจะ ไม่ค่อยนิยมเท่าพวกหนัง จึงไม่มีคําว่า ลิเกหน้าไฟ หรือโขนหน้าไฟ

แต่ไม่ว่าจะเป็น ลิเก โขน หนังตะลุง หรือหนังภาพยนตร์นี้ ต่างก็ต้องมี ต้องแสดงกันตั้งแต่หนึ่งคืน หรือสองคืนแรกที่เขาเอาศพมาตั้งเตรียมเผาเท่านั้น พอคืนวันเผา มหรสพพวกนี้ก็ต้องเลิก เพราะการเผาศพเมื่อก่อนนั้น เขาตั้งปะรําเผากันตามลานวัด (ไม่พูดถึงผีไม่มีญาติ ที่เผาเชิงตะกอนท้ายวัด) แล้วก็ลงมือเผากันทุ่ม หรือสองทุ่มไปนั่น ไม่มีมหรสพใดที่อยากจะมาลงมือแสดง หรือมาลงโรงกันตอนนี้ หรือต่อจากนี้อีก แมแต่ลูก ๆ หลาน ๆ ของท่านที่เป็นศพเอง ยังไม่ค่อยอยากจะอยู่ดูตอนเขาเผาจริงนี่เลย ผิดนักก็พาลหนีกลับบ้านก่อน ในกอนตั้งแต่เผาหลอกเสร็จแล้ว เพราะมันน่ากลัวจริงเลย ใครจะชอบดูคนถูกเผาอยู่กลางลาน ไฟลูกแดงโร่อย่างนั้น ถึงจะเป็นคนตายแล้วก็เถอะน่ะ

เพราะยังงั้นเขาถึงมีการเผาหลอกไง คือพอตกสักสี่โมงหรือห้าโมงเย็น บรรดาผู้จะมาช่วยประชุมเพลิงทั้งหลาย ต่างก็ถือช่อดอกไม้จันทน์ เดินขึ้นปะรําไปวางไว้ใต้โลงศพ วางแล้วก็รีบลงมากระวีกระวาดลาเจ้าภาพกลับบ้าน คล้าย ๆ กับการเผาศพเดียวนี้นะ แต่เดี๋ยวนี้เขาทําปะรําเผาแบบถาวร
เป็นอิฐถือปูน มีปล่องระบายควันเรียบร้อย แต่ผู้ที่มาร่วมประชุมเพลิงก็ยังถือดอกไม้จันทน์ไปวางเผาหลอกๆ เหมือนเดิมแล้วก็รีบกระวีกระวาดกลับบ้านเหมือนเดิม ไม่เห็นค่อยมีใครอยากอยู่ดูตอนเขาเผาจริง ๆ เลย

เมื่อเป็นอย่างนี้ แล้วคําว่า “หนังหน้าไฟ” มันมาจากไหนล่ะคํานี้ถ้าเป็นสํานวน ท่านก็ว่าเป็นคําที่ว่าคน หรือว่าท่านผู้หนึ่งผู้ใดที่ชอบออกมาทําเจ้ากี้เจ้าการ ออกรับขับสู้ การทําดีหรือมิดีของผู้อื่น ซึ่งส่วนมากก็ทํามิดีน่ะแหละ บางทีก็ว่าท่านถูกชักเป็นหนังหน้าไฟก็มี ถูกเชิดเป็นหนังหน้าไฟก็มี คือใคร ๆ ก็ยึดท่าน ไว้ให้โลดให้เต้นอยู่ยังงั้นจะนั่ง จะนอน จะหลบหน้าไปไหนมั่งก็ไม่ได้ ขืนไปเป็นเกิดเรื่องใหญ่แทบทุกที ท่านก็เลยต้องอยู่อย่างงั้น เป็นหนังหน้าไฟให้เขา

คําว่า ถูกชักเป็นหนังหน้าไฟนี้ ผู้คิดสํานวนคงจะหมายถึงหนังตะลุงแน่เลย เพราะหนังอื่นมันไม่ต้องชัก ซึ่งผู้เขียนก็ได้บรรยายแล้วตั้งแต่ตอนต้น ว่าถ้าเป็นหนังตะลุง ภาพยนตร์นั้น มันต้องเล่นแต่ตอนค่ําแล้ว เพราะต้องอาศัยความมืด แต่หนังสดนั้นไม่ต้อง

เพราะการแสดงหนังหน้าไฟนั้น เขาลงมือ หรือลงโรงแสดงกันแต่ตอนเผาหลอก คือตอนประโคมเท่งทึ้ง ๆ คนจะขึ้นปะรำเผาหลอกนะ เขาก็จะปล่อยตัวหนังออกมา

เมื่อเร็ว ๆ นี้เอง ผู้เขียนก็ไปเผาศพคนรู้จักคนหนึ่งที่วัดราชสิทธาราม (วัดพลับเจ้าเก่า) เขาก็มีหนังสดหน้าไฟเหมือนกัน แต่มีกันก่อนการขึ้นเผาหลอกเลยยกเตียงมาตั้งกันที่หน้าเมรุ แล้วก็แสดงให้แขกที่ต่างทะยอยมาชม จนแขกมาแน่นหนาดีแล้วก็เลิกแสดง ลุกขึ้นคํานับปล่อยให้แขกลงมือเผาเสียที

หนังสดวันนั้น วันนั้น (คือวันที่พูดถึงนี่) จับแสดงตอนหนุมานออกบวชแล้ว แต่ลีลาที่หนุมานเดินออกมานั่งเตียง แล้วก็ร้องก็รำเป็นยี่เกไปหมด ไม่เป็นหนังสดเลย ยังจําตอนหนุมานด้นกลอนยี่เกตอนจบได้เลยว่า… แม่สาววัดพลับหน้าขาว แม่ลุกขึ้นหุงข้าวหรือยัง… คือท่านร้องถึงว่าคนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยลุกขึ้นทําบุญใส่บาตรกัน ท่านก็เลยจบลงแบบนั้น ซึ่งเป็นการจบคําที่เข้าท่ามาก แต่มันทําให้ดูเป็นไม่ใช่หนังสด มันดูเป็นยี่เกไป

หนังสดหรือหนังหน้าไฟที่ผู้เขียนจะเล่าถึง เมื่อได้ดูเมื่อตอนยังเด็กนั้น ก็เล่นที่วัดพลับนี่แหละ เป็นครั้งแรกของหนังสดที่มาที่นี่ ที่รู้ได้ก็เพราะเมื่อผู้ใหญ่เขาไปขออนุญาตที่โรงพักเพื่อขอมีมหรสพฉลองงานศพนั้น ทางโรงพักก็ยังไม่รู้เลยว่าหนังสดเป็นอย่างไร ผู้ไปขอก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะยังไม่เคยเห็น ได้แต่บอกตามเขาสั่งไปว่า มันเหมือนโขนแค่นั้น

หนังสดที่เอามาแสดงเมื่อประมาณห้าสิบปีก่อนโน้น เกิดขึ้นเพราะญาติท่านหนึ่งของผู้เขียนเสีย แล้วลูกชายของท่านซึ่งเป็นทหารอากาศอยู่ดอนเมือง ได้หาหนังสดแถวบางอะไรใกล้ๆ กันนั้นมาแสดงถึงนี่ การเดินทางของหนังสดคณะนั้น เดินทางด้วยเรือเอี้ยมจุ๊นทีเดียว ล่องลงมาตามแม่น้ําเจ้าพระยา แล้วมาเลี้ยวเข้าคลองบางหลวงถึงสะพานเจริญพาสน์ มันมีปากคลองเล็ก ๆ อยู่ เขาเรียกปากคลองวัดราชสิทธิ เรือเอี้ยมจุ๊นมันก็ถ่อเขามาตามนั้น

โรงที่ปลูกไว้เป็นที่แสดงนั้น ทางเจ้าภาพได้สร้างไว้ริมคลองหน้าวัด เป็นโรงที่ยกพื้นสูง และยาวไปตามริมคลอง ลักษณะท่าทางว่าจะเป็นโรงโขน เพราะใหญ่กว่า โรงยี่เกมาก แต่กระนั้นเมื่อคณะหนังสดมาถึง ท่านยังขึ้นจากเรือเอี้ยมจุ้นมา ช่วยกันต่อเติมให้มั่นคงแข็งแรงและใหญ่ออกไปอีก จนผู้คนชักตื่นเต้น หลังจากตื่นเต้นมาแล้วจากที่ได้เห็นเรือเอี้ยมจุ้นบรรทุกผู้แสดงมาแน่นลํา ว่าท่านจะเล่นอะไรกันวะนี้ ตัวแสดงมันถึงมากมายก่ายกองยังงี้

ตัวแสดงของหนังสดคณะนั้น มากมายจริงๆ เลยท่านผู้ชม เอ้ย ท่านผู้อ่าน (ผู้เขียนก็ติดจะพูดแบบโต้โผละครลิงไปแล้ว) ก็คิดดูซิ ทั้งพลยักษ์ พลลิงนะ เข้าไปเท่าไหร่ เขามีผู้แสดงตั้งแต่ลิงหัวแถวไปจนถึงลิงหางแถว ไม่ใช่ออกมาทีละสี่-ห้าตัวอย่างที่เห็น ๆ กัน แต่เขาออกกันมาหน้าเวทีกันเป็นโขลง ไล่กันไปเลยที่จับมารัดเครื่องนะ ตั้งแต่รุ่นหนุ่มจนถึงเด็กแค่แปดเก้าขวบ แล้วไอ้หนูทุกตัวนี้เล่นเก่งหมด ทั้งร้องทั้งเต้นมันเผ่นโผนโจนทะยาน หกคะเมนตีลังกาคล่องหมดทุกตัว เรียกว่าพอโผล่หน้าฉากมันไม่เดินกันเลย หกคะเมนตีลังกาออกมาเลย พวกยักษ์ก็ตึ้กตึ้กๆ ออกมา ไม่มีเดินเซื่องๆ มานั่งจ๋องคอยบท

แต่มันมีเรื่องให้เฮฮาอยู่อย่างก็คือ พวกไอ้หนูลิงหางแถวเหล่านี้ พอตกดึกหน่อยมันชอบนั่งหลับโงกงุบ โงกงุบอยู่ริมเวทีบางทีเพื่อนเขาลุกขึ้นโดดแล้ว มันยังหลับอยู่เลย เรียกเสียงหัวเราะจากคนดูกันเฮฮา แต่ก็เป็นที่น่าเอ็นดูของผู้คนมาก พอคืนต่อมา คนดูจะเตรียมขนมพวกถั่วต้ม ข้าวโพดคั่ว อ้อยควั่น มากัน พอพวกลิงออก คนดูก็จะเอาของพวกนี้มาให้กิน โยนขึ้นไปให้รับ พวกลิงเล็ก ๆ ก็แย่งกันเป็นที่สนุกสนานทําให้หายง่วงไปได้

พอถึงตอนแต่งตัวของพวกหนังสด ผู้เขียนกับพลพรรคเช่น ไอ้จุก ไอ้แกละ ไอ้เบิ้ม อะไรพวกนี้ ก็เข้าไปนั่งจ้องอยู่ก้นโรงตามถนัด คือผู้เขียนนั้นมีบัตรเบ่ง พาพวกเข้าไปได้เพราะเป็นหนึ่งในเจ้าภาพเหมือนกัน

คนตายในบ้านสมัยก่อน พวกลูก ๆ หลาน ๆ ต้องแต่งชุดขาวกันทุกคน ผู้ใหญ่เขาซื้อผ้าขาวมาเป็นพับๆ แล้วก็ฉีกแจก ผู้เขียนก็ได้มาชุดหนึ่ง แต่งอยู่สามวันสามคืนจนเป็นชุดดํา พวกผู้ใหญ่เขาก็ต่างมีงานยุ่งกันทุกคน ไม่มีใครมาดูหรอก ว่าผู้เขียนจะเป็นตายร้ายดีอยู่ที่ไหน ผู้เขียนกับพลพรรคก็หมกกันอยู่ในโรงหนังสดนั้นเอง พอหนังเลิกก็คลานกันเข้าไปนอนในศาลาการเปรียญ ซึ่งพวกผู้ใหญ่เขาก็วุ่นวายกันอยู่ในนั้น เพราะมันมีโรงครัวอยู่ติดกัน เขาทํากับข้าว ทําขนมเลี้ยงพระเลี้ยงคน ทํา ดอกไม้สด แต่งปะรําพิธี เขาตั้งศพอยู่สามวันสามคืนถึงเผา เลี้ยงพระ เลี้ยงคนทุกวัน บนศาลาหน้าวัดก็มีมโหรีปี่พาทย์ (รู้สึกจะคณะเจ้าคุณเหลา) ร้องส่งกัน แล้วก็ประโคมเท่งทึ้ง ๆ กันทุกคืนดังกระหึ่ม

ผู้เขียนกับพลพรรคพากันสําราญบานใจมาก ไม่รู้ทุกข์รู้โศกกับเขาเลย หิวขึ้นมาก็พากันเข้าโรงครัว จะกินอะไรล่ะ มีมากมายก่ายกองจนกินไม่ทั่ว เพราะผู้ใหญ่เขาทําบุญในตอนนั้นเข้ากับสํานวนที่ว่า ตําน้ําพริกละลายแม่น้ํานะ หุงข้าวกระทะกันวันละไม่รู้กี่กระทะ แกงหม้อใหญ่ขนาดเด็กสองคนโอบไม่รอบ แล้วเลี้ยงพระสามวัน กับข้าวไม่มีซ้ําทั้งสามวัน ขนมประเภท ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง อะไรพวกนี้ เขาใช้ไข่ทิ้งเปลือกกองเท่าภูเขาเลากา พวกแม่ครัว พ่อครัวเดินชนกันทีเดียว คือคนมาช่วยมาก แต่คนช่วยมากก็ต้องเลี้ยงมาก อย่างพวกเก็บดอกไม้สดกับแทงหยวกแต่งปะรําพิธีนั้น เขาทํากันตั้งแต่เช้าวันนี้ยันเช้าวันรุ่งขึ้น คือทํากันทั้งวันทั้งคืน ไม่หลับไม่นอน เล่นกันขนาดนั้นทีเดียว

พวกเราเด็ก ๆ ก็สนุกมาก หิวก็เข้าไปกินข้าวกินขนม กลางวันก็วิ่งเล่นกันอยู่ลานวัด พอตกค่ําก็เข้าหลังโรงหนังสด ชีวิตมีความสุขดีจริงๆ

เมื่อกี้ว่าถึงตอนไหนแล้ว ตอนไหนแล้ว อ้อ ถึงตอนหนังสุดแต่งตัว การแต่งตัวของพวกหนังสด ก็เหมือนการแต่งตัวของพวกละครชาตรีที่เคยเล่าแล้วน่ะแหละ ตัวนางสีดาก็แต่งแบบตัวนางของละครชาตรีเปี๊ยบ ไม่มีผิดกันเลย ตัวพระลักษมณ์ พระราม ทศกัณฐ์ ก็แต่งแบบโขนที่เคยเห็น ๆ กันนี่แหละ คือเหมือนกับตัวพระของละครชาตรีก่อนโน้น ซึ่งเล่นกันแบบชายไม่จริง แต่หญิงแท้ ส่วนโขนกับหนังสดนี้ เมื่อก่อนตัวพระลักษมณ์ชอบเอาผู้หญิงเล่น ตอนหลังมาเปลี่ยนเอาผู้ชาย ไม่รู้เพราะอะไร

ส่วนยี่เก มีสัญลักษณ์ประจําตัวที่น่าทึ่งมากคือนอกจากจะเล่นแบบชายจริงหญิงไม่แท้ คือเอาผู้ชายมารัดเครื่องเป็นนางเอกแล้ว (หมายถึงเมื่อก่อน) ยังแต่งองค์ทรงเครื่องไม่เหมือนใครเลย มีรูปแบบของตัวเอง ตั้งแต่ผ้าโจงกระเบน ไม่มีสนับเพลา แต่ใช้สวมถุงเท้าขาวแทน ตัวนางนุ่งผ้าจีบแล้วใส่ถุงเท้าก่อน ถึงจะใส่กําไลข้อเท้า ดูเรียบร้อยมากเพราะตามสายตาผู้เขียนแล้วเห็นว่า การแต่งองค์ทรงเครื่องใส่ชฎากันเต็มยศ แต่ปล่อยเท้าเปล่า ๆ นั้นไม่สวย สู้ยี่เกเมื่อก่อนไม่ได้ เพราะแต่งองค์ทรงเครื่องแล้วก็ใส่ถุงเท้าด้วย

หนังสดนี้ต้องแต่งหน้าหมดทุกตัว เพราะต้องเปิดหน้าโชว์ไม่เหมือนโขน แล้วตัวหนุมานนั้นเขามีอยู่สองตัว แต่งตัวพวกหนังสดแต่งตัวกันแต่บ่าย มีกี่คนกี่คนแต่งหมด เพราะจะจับตอน:ผาลงกาพวกที่เคยเป็นพลลิงก็มาเปลี่ยนเป็นพลยักษ์หมด แล้วก็เปลี่ยนไม่ยาก เพียงแต่ไม่ใส่หาง เอาแต่ผ้าอะไรแผงเดียวมาปิดตรงกันแบบยักษ์แค่นั้น เอาหัวยักษ์มาใส่ก็เสร็จ

ส่วนหนุมานต้องรัดเครื่องทั้งสองคน เพราะแม้จะเล่น เดี๋ยวเดียวแต่ก็ต้องผลัดกับเล่นเหมือนเคย เขาว่าบทตอนนี้หนักมาก พวกที่มาด้วยแต่ไม่ได้เล่นก็จัดแจงเก็บข้าวของลงหีบห่อเตรียมขนใส่เรือ เพราะเขาว่าพอลาโรงเสร็จก็จะถอยเรือออกเลยไม่รออยู่จนค่ํา พวกเราเลยละล้าละลัง เสียดายว่าพวกเขาจะกลับก็เสียดาย ตื่นเต้นอีฉากใหญ่นี่ก็ตื่นเต้น เพราะเขาไล่เด็กลงจากเวทีหมด ไม่ให้ตะกายขึ้นไปนั่งริมเวทีเหมือนทุกที เขาบอกว่าระวังไฟมันจะลวกเอา

แต่สําหรับตัวผู้เขียนเป็นคนพิเศษ เพราะเป็นเจ้าภาพถึงชุดขาวที่บอกยี่ห้อเจ้าภาพจะกลายเป็นชุดดําไปแล้ว เขาก็ยังพอจําได้ ปล่อยให้นั่งหน้าเจ๋ออยู่ในโรงอย่างเดิม

พอตกสี่โมงหรือห้าโมงเย็นราวนั้น มโหรีบนศาลาประโคมเท่งทึ่ง ๆ บรรดาแขกเหรื่อเตรียมจะขึ้นเผาหลอกแค่นั้นหนังสดหน้าไฟก็ปล่อยตัวทันที

เริ่มตอนหนุมานถูกจับแล้วหลอกพวกยักษ์ให้เอาไฟมาเผา พวกยักษ์ก็เชื่อ พากันเอาไฟมาใส่ หนุมานก็เลยเผ่นโผนเข้าในปราสาทโน้น ปราสาทนี้ ไฟที่ติดตามตัวก็ลุกไหม้ ควันโขมงไปหมด

เสียงผู้คนที่แน่นขนัดเต็มลานวัด (คือเต็มมาแล้วตั้งแต่หนังสดเล่นคืนแรก ยิ่งถึงวันสุดท้ายนี้ ที่ที่ยืนยังแทบไม่มี เป็นประวัติการณ์ของงานเผาศพของวัดพลับทีเดียว) แตกตื่นฮือฮากันใหญ่ เด็ก ๆ ที่ดื้อ ขืนปีนขึ้นไปบนเวที ก็พากันโดดลงตุ้บตั้บ เพราะไฟลุกโพลงควันโขมงอยู่หน้าโรงเต็มไปหมด ควัน เป็นกลุ่มดำเป็นกลุ่ม ๆ เลย

อีตอนนี้ทั้งยักษ์นาย ยักษ์บ่าว ก็อุ้มลูกจูงหลานหนีไฟกันคึ่ก ๆ คือวิ่งเข้าโรงทางนี้ แล้วก็วิ่งออกทางโน้น คว้าเด็ก ๆ คนดูที่โดดหนีไม่ทันอุ้มออกไปด้วย เด็กตกใจก็ร้องไห้กันแง ๆ เข้าบทเข้าบาทกันไปเลย

มันเป็นความโกลาหลอลหม่านอย่างชนิดคนดูต้องอ้าปากค้าง มีแต่ผู้เขียนที่อยู่หลังโรงเท่านั้นที่รู้ว่าเขาทําไฟลุกได้ยังไง ผู้เขียนเห็นเขาถือคบไฟ คบกระบอกไม้ไผ่อย่างที่เคยเล่าแล้วนั่นแหละ แล้วคนถือคบก็อมน้ํามันก๊าดไว้ เป่าพรุดไปที่คบ มันก็เลยเกิดเป็นไฟลุกออกไปกลางอากาศ (ใครอย่าไปลองทําเข้านะ เป่าไม่เป็นไฟมันลุกมาลวกหน้าเอาไม่รู้ด้วย) เขายืนเป่ากัน ทั้งทางเข้าทางออกของเวที ไฟมันก็ลุกโขมงนะซิ

แต่ทั้งที่รู้ว่าเขาทํายังไง ผู้เขียนก็ยังตกใจ เผ่นขึ้นไปนั่งบนตักนางสีดา ตัวซี่ตัวสั่น ยิ่งเห็นไอ้ตัวหนุมานอีกตัวมันเอาไฟจุดหางสว่างโพลง วิ่งเข้าวิ่งออกแทนอีกตัวที่เข้ามานั่งหอบแฮ่ก ๆ ยิ่งน่าตกใจใหญ่ มองไปทางไหนเห็นแต่ไฟไปหมด แต่ แปลกที่ไม่ยักกะไหม้โรง

สุดท้ายทุกตัวเข้าโรงหมด เหลือแต่ตัวฤษีกับตัวหนุมานที่มีไฟลุกโพลงที่หางดับไม่ได้ ต้องไปหาพระฤษีนั่นแหละ ไฟที่หางหนุมานที่ไม่ยอมดับนี้ ผู้เขียนไม่รู้เขาทํายังไง มัวแต่ตื่นเต้นตกใจเลยไม่รู้วิธี เห็นแต่ตอนเขาจุด พอจุดลุกแล้วทําไมไม่ ดับก็ไม่รู้ ไม่ว่าจะลงนอนกลิ้งเกลือกกับพื้น กระโดดโลดเต้นทั้งเป่าทั้งปัดยังไง มันก็ไม่ดับจริงๆ แม้วิ่งเข้ามาในโรง ยืนคอยบทพระฤษี ไฟมันก็ลุกอยู่ปลายหางหนุมานอยู่ยังงั้น แปลกจริงๆ

ขณะพระฤาษีเล่นบทอยู่กับหนุมานหน้าเวที พวกที่อยู่ในโรงก็ทยอยกันขนของลงเรือแล้ว
บางตัวไม่ทันแกะเครื่องออกจากตัวหรอก ก็รีบวิ่งไปลงเรือเลย บางตัวหัวยักษ์ก็ไม่ทันถอดด้วยซ้ำ วิ่งโครม ๆ ขึ้นสะพานไม้อันเดียวที่เททอดไปยังเรือเอี้ยมจุ๊นหายไปในนั้น พวกเราก็ใจหาย

หมายความถึงผู้เขียนกับพวก ไอ้จุกไอ้แกละอะไรพวกนี้น่ะ ไม่ได้ไปดูหน้าโรงเลยว่าเขาเป็นยังไงกันมั่ง ศพญาติผู้ใหญ่เขาเผากันไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ พากันมายืนอยู่ที่ริมคลอง ดูพวกตัวหนังสดเขาลงเรือกัน จําได้ว่าตัวสุดท้ายก็คือตัวพระฤาษี กับตัวหนุมานที่ไฟติดหางแล้วดับได้นั่นแหละ เขาเดินข้ามสะพานไปลงเรือ แล้วสะพานไม้อันนั้นก็ถูกชักเอาไป

เรือเอี้ยมจุ้นถอยออกแล้ว ตัวหนังสุดยังแต่งเครื่องอยู่ก็มี กําลังถอดเครื่องอยู่ก็มี ทุกตัวเหน็ดเหนื่อยจนไม่มีใครมาสนใจพวกเราที่ยืนหน้าจ๋อยอยู่ริมคลอง มีแต่นางสีดาน่ะแหละ ยัง

อุตส่าห์หันมาโบกมือแล้วยิ้มด้วย แล้วเรือเอี้ยมจุ๊นมโหฬารลํานั้นก็ลับตาไป

เสียงไอ้แกละถอนใจเฮือก คราวนี้มันไม่ได้ร้องไห้แฮะ คงยังตื่นเต้นไฟไหม้ลงกาเมื่อกี้อยู่ เห็นแต่มันทําหน้าคิดๆ แล้ว พึมพำออกมาว่า

“กูอยากให้พ่อกูตายมั่งจัง กูจะเอาหนุมานสองตัวนี้มาเล่นมั่ง แต่เสียดายจังว่ะ พ่อกูคงอีกนานกว่าจะตาย”

พวกเราไม่มีใครพูด แต่ก็ทําตาลอยกันทุกคน แล้วก็เชื่อได้เลย ทุกคนต้องคิดแบบไอ้แกละทั้งนั้น แฮะ…

หนังหน้าไฟ - แก้ว แกมทอง

หนังสือต่วย'ตูน เดือนตุลาคม ๒๕๒๙ ปีที่ ๑๖ เล่มที่ ๒

Share:

Facebook
Twitter
Pinterest
LinkedIn

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Photobook

Highlight

Random

18 กะรัต [2]

18 กะรัต [2] สุดยอด เซ๊กส์สตาร์ เมืองไทย

จากน้ํามันถึงปลาทู

จากน้ํามันถึงปลาทู ยุติพงษ์ ตั้ง เมื่อพูดถึงการค้าระดับประเทศรอบ ๆ มหาสมุทรแปซิฟิกใต้

On Key

Related Posts

หมาเจ้าเมือง

หมาเจ้าเมือง ร.ต.พิมล สุวรรณสุภา อันว่าบุญวาสนาของสัตว์โลก ทั้งผองจะเจริญขึ้นหรือเสื่อมลงนั้น ย่อมเป็นไปตามกฎแห่งกรรมของตนเองทั้งสิ้น ก่อกรรมใดที่ไม่ถูก กาลเทศะ, โลภโมโทสัน หรือเหิมเกริมจนลืมตนก็จะเป็นเหตุปัจจัยฉุดรั้งให้ต่ำลง แทนที่จะช่วยดึงให้สูงขึ้น สัจธรรมข้อนี้ผมได้มาจากชีวิตของ

จากน้ํามันถึงปลาทู

จากน้ํามันถึงปลาทู ยุติพงษ์ ตั้ง เมื่อพูดถึงการค้าระดับประเทศรอบ ๆ มหาสมุทรแปซิฟิกใต้ หรือนัยหนึ่งการตั้งตัวเป็นนายหน้าให้สินค้าผ่านมือไปสู่ประเทศคู่ขา ใครไม่รู้จักสิงคโปร์ก็บ้าแล้ว เมื่อสวัสดีกับเมืองโชนันในอดีตแล้ว ก็น่าจะเลยไปสัมผัสมือกับโก๊ะจกตง ทายาทมือระดับพระกาฬของลีกวนยิวไว้หน่อยก็จะดี อย่างน้อยก็ในฐานะของผู้สืบสายเลือดคนแรกที่ได้รับการถ่ายทอดวิทยายุทธ์ในสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์อย่างครบถ้วนทุกกระบวนท่า

รบกับเจ็ก

รบกับเจ็ก ประสงค์ บานชื่น ทางสื่อมวลชน เช่นวิทยุ โทรทัศน์ (เอ๊ย, ยังไม่มี) และหนังสือพิมพ์ ว่า “เชื่อผู้นําชาติพ้นภัย” “มาลานําไทยสู่มหาอํานาจ”

มวยแขก

ชุดแขกอมยิ้ม มวยแขก ชัยชนะ โพธิวาระ คุยกับแขกไม่ว่าเรื่องใดก็ตามอาบังแกต้องมีเรื่องมาเกทับคู่สนทนาอยู่เสมอ เช่นคุยถึงเรื่องรถแขกเขาต้องบอกว่ารถที่ผลิตในอินเดียแข็งแกร่งที่สุด รูปร่างที่สวยงาม แถมชื่อยังไพเราะซะด้วยคือยี่ห่อแอมบาสดอร์ ยิ่งมอเตอร์ไซค์ยิ่งชื่อเพราะใหญ่คือยี่ห้อ YEZDEE ถ้าคุยถึงเรื่องพระเจ้าบังแกก็จะคุยจนน้ําลายฟูมปากอีกนะแหละว่าอินเดียเป็นดินแดนของพระเจ้าและมีพระเจ้าอยู่ที่นี่มากที่สุด เรียกว่าคุยเรื่องไหนมาแขกเป็นคุยทับไปได้อย่างสบาย

“โอฬาร” – หนังสือหัวเตียง

หนังสือหัวเตียง “โอฬาร” เมื่อเดือนก่อนมีนักเขียนชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งแวะมาหาผมที่สํานักงาน “สตูดิโอ เท็น” ถนนอรรถการประสิทธิ์ ตอนนั้นสิบโมงเช้าแล้ว ผมกําลังนั่งดูเพื่อนฝูงเขาตัดต่อภาพยนตร์สารคดีท่องเที่ยว ชุด “ชีพจรลงเท้า” อยู่ นักเขียนชาวฝรั่งเศสผู้นั้นยังหนุ่มอยู่