ThaiMags.com

ยกสุดท้าย – ฒ. ผู้เฒ่า

ของเก่าเราลืม

ยกสุดท้าย

ฒ. ผู้เฒ่า

            สะพานพุทธยอดฟ้า สะพานพระราม 5 โรงไฟฟ้าสองแห่ง เสียหายใช้การไม่ได้หมด ย่านรถไฟโรงงานมักกะสัน ย่านรถไฟบางซื่อ โรงปูนซีเมนต์ แหลก พื้นที่สี่พระยายันบางรักไหม้ราบเป็นจุล อีกมากมายหลายแห่งถล่มทลาย ผู้คนทรัพย์สมบัติวอดวายบาดเจ็บล้มตาย ซ้ํายังทิ้งทุ่นระเบิดบริเวณปากน้ําเจ้าพระยาอีกด้วย ทําให้เรือเข้าออกไม่ได้ ฝูงบินสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดแบบหว่านนาเปรอะไปหมด อย่างไปลงที่พระที่นั่งอนันตสมาคม พระที่นั่งอัมพรสถาน วังสวนกุหลาบ โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ชุมชนสวนอ้อยตรงข้ามวชิรพยาบาลตลาดศรีย่าน และอีกมากมายที่ไม่ได้เป็นเป้าหมายทางยุทธศาสตร์แม้แต่น้อย นี่ละครับสงครามที่ไทยไม่ได้ก่อ สี่ทุ่มวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๔๘๗ เจ้า บี-๒๔ ไม่รู้กี่ฝูงบินอยู่เหนือหัว หว่านนาลงมาย่านหัวลําโพง ที่ลานหน้าสถานีประชาชนรวมทั้งพนักงานรถไฟเสียชีวิตเกลื่อน ระเบิดทําความเสียหายแก่สถานีรถไฟสายปากน้ํา โรงแรมตุ้นกี่ โรงแรมหัวลําโพง โรงแรมราชธานี บ้านเรือนย่านตรอกสลักหิน สะพานฉลองกรุง โรงฆ่าหมู ใกล้วัดสามจีน

อีกพื้นที่นึงคือบางรัก ตรอกไก่ สถานีตํารวจยานนาวา เชิงสะพานสีลม โฮเต็ลทรอกาเดโร พวกนี้ถูกเข้าไปอาการพอเยียวยา ที่แจ๊กพอทโครมเดียวทลายลงเลยก็สถานทูตเยอรมัน ถนนสุรศักดิ์ กับโรงพิมพ์ประมวลมารค ถนนประมวล โรงพิมพ์นี้เป็นของ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (น.ม.ส.) ซึ่งมีหนังสือพิมพ์รายวัน “ประมวลวัน” และรายเดือน “ประมวลมารค” หนังสือชั้นแนวหน้าทั้งคู่ คืนนั้นตึกไปรษณีย์กลางระเบิดตกระเบิดในตรอกวัดม่วงแค และด้านหลังแถวริมแม่น้ําขนาด ๕๐ กก.ทั้งนั้น ลูกนึงตกเฉียดตัวตึกห่างไม่ถึง ๒.๐๐ เมตร ใกล้กับบันไดกลางด้านถนนเจริญกรุง แต่ด้าน กรรมสรรพาวุธทหารบกพยายามกู้แล้วไม่สําเร็จ เจ้าระเบิดลูกนั้นดําดินไปลึกมาก ดูเหมือนว่าได้มาแต่ส่วนหาง แต่ก็แปลกละครับที่ตึกไปรษณีย์กลางยืนหยัดอยู่ตลอดสงคราม โดยไม่มีระเบิดระคายผิวเลย ทั้งที่โดนเทใส่หลายครั้งหลายหนเหลือกําลัง

ที่ร่ายยาวมาไม่ใช่อะไรหรอกครับ ตั้งใจจะว่าถึงสถานเอกอัครราชทูตเยอรมัน บริเวณใหญ่โตกว้างขวางรั้วเหล็กรอบขอบชิด ตัวตึกใหญ่ สถาปัตยกรรมแนวเดียวกับวังบางขุนพรหม อัครฐานโอ่อ่าสมฐานะมหาอํานาจผู้ท้าโลก ระเบิดดันลงตรงเป้า เศษปรักพังและทรัพย์สินต่าง ๆ ปลิวไปทั่วทิศ สถานทูตขอกําลังตํารวจและสารวัตรทหารเข้าไปรักษาพื้นที่ทันที อาคารคลังเสบียงพังลง เพราะแรงอัดของการระเบิด อาหารกระป๋องนานาชนิดทะลักออกมาเป็นต้นๆ บางส่วนกระเด็นออกไปเกลื่อนอยู่นอกรั้ว หลังสัญญาณปลอดภัยก็สนุกไทยมุงเค้าละ จากนั้นอีกสามสี่วันพรรคกระเป๋าเสื่อ มากระซิบ มีอาหารกระป๋องของยุโรปชั้นดีจะเอาอะไรล่ะ ไทยเราทันเหตุการณ์ยังงี้เสมอ หลังสงครามเยอรมันไม่ใช้ที่ถนนสุรศักดิ์ตั้งสถานทูต ทิ้งรกร้างอยู่นานปี กองตรวจคนเข้าเมืองจึงเข้าไปก่อสร้างอาคารสํานักงาน หนังสือพิมพ์ประมวลวัน และประมวลมารค ยุติกิจการโดยปริยายเพราะโรงพิมพ์เสียหายเกินซ่อม แต่ตัววังกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ น.ม.ส. ยังคงอยู่ ปัจจุบันเป็นของทายาทคือ ม.จ.ภีศเดช รัชนี เปิดห้องอาหารกัลปพฤกษ์อยู่ด้านหน้าริมถนนประมวล ม.จ.ภีศเดช ทรงเป็นเสรีไทยสายอังกฤษแฝงตัวเข้ามาปฏิบัติงานใน พ.ศ. ๒๔๘๘ เคยได้เฝ้าท่านแม่อย่างใกล้ที่สุด คือไปซุ่มอยู่คนละฝั่งถนนกับประตูวังเพียงได้ทอดพระเนตรเห็นท่านหญิงประทับรถสามล้ออกมาเท่านั้น งานซ่อนเร้นก็คืองานซ่อนเร้น

การโจมตีทางอากาศไม่มีทีท่าว่าจะเบาบางลง มีแต่ถี่ขึ้น บางครั้ง บี-๒๙ เข้ามาเพียงลําเดียวก็ยังดี ฝ่ายยุทธการวิเคราะห์ว่าการโจมตีกรุงเทพฯ ส่วนหนึ่งเป็นการดึงความสนใจ เพื่อพรางปฏิบัติการอื่นของสัมพันธมิตร อย่างเช่นการส่งพลร่มลงที่ตําบลใดตําบลหนึ่งซึ่งมีความเป็นไปได้สูง เพราะญี่ปุ่นอ่อนกําลังลงไปมากแล้ว ญี่ปุ่นน่ะคิดไม่ซื่อกับไทยมาตลอดเวลา กองทัพเคยตัดสินใจจะยึดประเทศไทยเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๔๘๗ เวลา ๑๖.๐๐ น. แต่ พลเอกนากามูระหรือเรียกกันว่า แม่ทัพงิ สั่งระงับแผนเสียก่อน กองกําลังที่วิคตอเรียพ้อนท์ไม่ทราบคําสั่ง จึงปฏิบัติตามแผนเข้ายึดจังหวัดระนอง ฆ่า จ.ส.อ.สวัสดิ์ ดิษยบุตร ตาย ไทย-ญี่ปุ่น มองหน้ากันไม่สนิทระวังตัวคุมเชิงกันอยู่ตลอดเวลา ต่อมากองทัพบกเปิดรับยุวชนนายทหารจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปเข้าอบรมหลักสูตรนายทหารสารวัตรและยุวชนนายสิบไปอบรมหลักสูตรนายสิบสารวัตรเช่นกัน ตั้งค่ายฝึกอยู่ที่เขาทราย ชลบุรี ในบังคับบัญชา พล.ร.ต.หลวงสังวรยุทธกิจซึ่งในจุดมุ่งหมายจริงนั้นเป็นการเตรียมผู้บังคับหมวดและผู้บังคับหมู่ให้แก่กองกําลังเสรีไทย ที่เริ่มรวบรวมได้ค่อนข้างเป็นปึกแผ่นแล้ว เสรีไทยจากนอกประเทศทั้งสายอังกฤษอเมริกาเข้ามาตั้งข่ายสื่อสารและมาเป็นผู้ฝึกสอน สัมพันธมิตรส่งอาวุธยุทธภัณฑ์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่คอยเวลาตีแตกหักกับญี่ปุ่นเท่านั้น

ข่าวแพร่ออกมาต้นเดือนพฤษภาคม ๒๔๘๘ ว่า เบนิโต มุสโสลินี จอมเผด็จการฟาซิสม์อิตาลีถูกฆาตกรรม เหล่าประชาชนที่ขึงเครียดเกลียดชังนําศพไปแขวนประจานไว้นอกกรุงโรม แบบแขวนเท้าเอาหัวลง เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน อีกสองวันต่อมาคือ วันที่ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ฟูห์แรร์ของนาซีเยอรมันผู้เกรียงไกรก็ยิงตัวตายพร้อมกับสุภาพสตรีชื่อ อีวา บราวน์ เป็นอันอ่านได้ว่าศึกยุโรปใกล้อวสานเต็มที่แล้ว ตานี้ก็ยุ่งละซิครับ เหลือพี่ยุ่นมหามิตรแสดงเดี่ยวในเอเชียบูรพา ยังงี้ไม่รอดแน่ จะเลือดเข้าตาบ้ามาขย้ําไทยก็ไม่ใช่หมูซะแล้ว ไทย-ญี่ปุ่นอยู่ร่วมกันอย่างกินเหลี่ยมกินคูกระทั่งวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๘๘ ญี่ปุ่นจะวัดใจไทยประการใดก็เหลือเดา พลเอกนามากุระ หรือ แม่ทัพงิ ได้เชิญนายทหารระดับสูงของกองทัพไทย ไปในงานเลี้ยง (เครื่องแบบปกติขาว) มองกันเหมือนกันว่าญี่ปุ่นจะเล่นไม่ซื่อเช่นแผนวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๔๘๗ รึเปล่า ไทยซะอย่างกลัวอะไร ที่จะหนีนั้นไม่มี ผู้ใหญ่ไปร่วมงานตามปกติ ไม่มีอะไรในกอไผ่ ญี่ปุ่นจะทุบหม้อข้าวนั้นไม่ฉลาดแน่ กําลังที่ถอยจากสมรภูมิพม่าเข้ามาล้วนแต่อ่อนเปลี้ยอิดโรย เครื่องแบบเก่าขาดวิ่นโทรมเต็มกิน หมดสิ้นสง่าราศีของกองทัพพระเจ้าจักรพรรดิที่เคยฮึกเหิม เชื่อตัวเองว่าจะตีไปได้ถึงครึ่งโลก ให้นายพลโตโจไปเขย่ามือกับฮิตเลอร์ที่เตอรกี

การโจมตีทางอากาศดําเนินไปไม่ขาด ผู้คนในกรุงเทพฯ โหรงเหรงเต็มที่ ส่วนที่ยังอยู่คือที่ต้องอยู่กับ “ความเป็นกรุงเทพฯ” ที่ไม่เปลี่ยนแปลง ฝูงบินข้าศึกบินอยู่เหนือหัว เสียงระเบิดดังตูมตามที่นั่นที่นี่ ไกลใกล้ชาวพาราหน้าเหี่ยวเมืองกรุง “คุ้น” จนเหลือจะคุ้น นั่งพุ้ยข้าวต้ม ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ แกะหอยแครง ฉีกปลาหมึก สบายอารมณ์ อยู่เฉย ๆ เดี๋ยวเครื่องบินมันก็ไปเองน่ะ ฝ่ายเจ้าของร้านเผ่นน้ําบานไปแล้ว ลูกค้าชมรมขวดแก้วช่วยดูแลร้านให้อย่างซื่อสัตย์ไม่มีบกพร่อง ญี่ปุ่นซึ่งในขวัญและความเยือกเย็นของคนไทย และก็เชื่อในเครื่องรางของขลังอยู่เช่นเดียวกัน เห็นไทยแขวนพระเครื่องติดคออยู่เกือบทั้งนั้น ก็อาราธนาไปแขวนมั่ง อยู่ ๆ ไปคงจะพบพระพุทธ คุณหรือปาฏิหาริย์ อะไรเข้ามั่ง เรื่องนี้ดังมาแต่ครั้งสงครามอินโดจีนแล้ว ยุคนั้นการซื้อขายพระเครื่องมีอยู่เป็นส่วนน้อย พวกที่สะสมจะใช้วิธีแลกเปลี่ยนซึ่งไม่ได้คิดเป็นราคาค่างวดอะไรนัก อีกด้านหนึ่งอย่างพระสมเด็จดัง ๆ ยังพอขอหลวงปู่หลวงตาหรือผู้ใหญ่ที่สะสมไว้ได้อยู่ ไม่มีหรอกครับแผงค้าพระตั้งราคาดีเดือดเลือดพล่านอย่างเดี๋ยวนี้ ตานี้ทหารญี่ปุ่นต้องการพระเครื่องและจะขายให้ได้ในราคาดี ขายได้ทั้งนั้นขอให้เป็นในรูปแบบพระเครื่องก็แล้วกัน หามาจากไหนไม่มีใครสนใจ ในที่สุดก็เกิดพระปั้นเองออกมาหลอกขาย ไม่มีอะไรมากดินเหนียวธรรมดานี่แหละ ปั้นให้เข้าแบบ เอาไปแช่น้ําหมากแล้วตากแห้ง บอกว่าเป็นพระเครื่องเก่าจากอยุธยาหรือที่ไหนก็แล้วแต่ นักค้าพระเก่าประเภทนี้หลายคนถามผมว่ายังงี้บาปมั้ย ก็ญี่ปุ่นมันทําเราแสบก่อนนี่นา ผมไม่ทราบเหมือนกัน ญี่ปุ่นแขวนพระเครื่องด้วยเชือกธรรมดา ไม่ใช่สร้อยทองคํา

ย่านรถไฟสถานีบางกอกน้อยเป็นจุดหนึ่งที่สัมพันธมิตรมุ่งจะทําลาย ทั้งที่ถ้าสะพานข้ามแม่น้ําที่นครไชยศรีพังก็จะสิ้นความสําคัญทันที แต่กองบัญชาการเอเชียอาคเนย์ หรือ ซีแอค จะเอาให้ได้ โรงพยาบาลศิริราชต้องตกอยู่ในพื้นที่เป้าเต็มตัว ดูจะห่างหลักมนุษยธรรมของอารยชนมากไปหน่อยนะครับ เมื่อไหร่สงครามบ้าบอนี่จะยุติ และจะไปยุติที่ไหน คงจะมีการปะทะแบบเลือดทาแผ่นดินกับญี่ปุ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่ เราพร้อมรึยัง เสียงสัญญาณภัยทางอากาศดังครวญครางไม่เว้นแต่ละวัน วันนั้นราวเที่ยงครึ่งผมกับพรรคพวกนั่งพุ้ยเกี๊ยวบะหมี่เส้นนุ่มชุ่มลิ้น สี่แยกเขียวไข่กาบางกระบือ ร้านปั้นกี่ไงล่ะครับ ร้านนี้ดังมากตอนท้าย ๆ สงครามและก็ดังต่อมาอีกนาน ขนาดคนอยู่ถนนตกยังต้องไปกินละนะ ฝีมือเฉียบเรื่องเส้นบะหมี่แผ่นเกี๊ยวหมูแดงพวกนี้แหละ กลืนลงคอแค่ไม่กี่คํา “หวอ” ขึ้นมาขัดจังหวะ ช่างมันพุ้ยต่อเถอะวะ โรงไฟฟ้าพังไปแล้วหมดเป้าสําคัญในพื้นที่นี้ ถ้ามันจะยังบ้าทิ้งระเบิดก็จนใจ ได้ยินเสียงเครื่องบินผ่านไป รู้สึกว่าจะบินต่ํามากกว่าปกติ ไม่มีเสียงระเบิด มีแต่เสียงปืนต่อสู้อากาศยานกับเสียงปืนกลจากเครื่องบิน ก็แปลกอยู่แฮะ ต้องออกไปแหงนดู บี-๒๔ เจ้าเก่า บินเกาะหมู่สามเครื่องตามกันมาเป็นทางและมีเครื่องขับไล่แบบสองเครื่องยนต์ลําตัวคู่หลายหมู่บินอยู่ที่เพดานสูงด้วย ยังนั่งโอ้เอ้อยู่ที่ปั้นกี่ ห่างจากบ้านไม่ถึง ๒๐๐ เมตรเอง ข่าวมาเร็วมาก ทหารม้าที่บ้านวิ่งหน้าตั้งมาบอกว่า สัมพันธมิตรส่งพลร่มลง ที่สนามหลวง มีการยิงต่อสู้กัน อะไรมันจะขนาดนั้น

เผ่นกลับบ้านทันที ถ้าเป็นจริงอย่างว่าก็เละทั้งเมือง ญี่ปุ่นต้องออกมาป้องกันตัวเอง กองกําลังรักษาพระนคร กองพลที่ ๑ ในบังคับบัญชา พล.ต.หลวงวีรวัฒนโยธิน คงเปิดฉากเล่นงานญี่ปุ่นแน่ เพราะในทางลับ ๆ รู้อยู่ว่าเป็นกําลังหลักที่สนับสนุนเสรีไทยในประเทศ ๆ ทีนี้ก็ไม่รู้หน้ารู้หลังล่ะ ไทย-ญี่ปุ่นต่างสร้างรังปืนกลและคูยิ่งสลับกันอยู่ทั่วไป ละแวกบ้านผมนั้นน่าเป็นห่วงไม่น้อย ในตรอกคนละฟากถนนมีอู่ต่อเรือของญี่ปุ่น กําลังรักษาอู่ ๒ หมู่ อาวุธหลักปืนกลเบา ๘ มม. ๒ กระบอก ผู้บังคับหน่วยยศร้อยตรี จะออกมาแผลงฤทธิ์หรือเปล่าไม่รู้ได้ บ้านผมอยู่ริมถนนใหญ่มีตรอกขนาบทั้งสองด้านตรอกด้านขวามีระดับ เสนาธิการกองทัพหนึ่ง รัฐมนตรีกลาโหมหนึ่ง รัฐมนตรีพลเรือนหนึ่ง อธิบดีหนึ่ง และข้าราชการอื่น ตรอกทางซ้ายต้นตรอกเป็นบ้านนายพลโทนอกราชการ อดีตแม่ทัพกองทัพภาคที่ ๑ ปลายตรอกเป็นบ้านครอบครัวรัฐมนตรีมหาดไทย ที่ว่าน่าเป็นห่วงก็ตรอกทางขวามือนี่แหละ เพราะมีนายทหารญี่ปุ่นยศร้อยเอกมาป้วนเปี้ยนอยู่เป็นอาจิณ ผมกลับมาคอยดูเหตุการณ์อยู่

กว่าจะรู้เรื่องพลร่มชัดแจ้งก็โน่นแน่ะครับ พ่อผมกลับจากกระทรวงเล่าว่า ฝูงบินทิ้งระเบิด บี-๒๔ ลิเบอเรเตอร์ จํานวน ๓๑ เครื่อง ของอเมริกา มีฝูงบินขับไล่ ที-๓๘ ไลท์นิ่ง คุ้มกัน เครื่องขับไล่ ๕ เครื่องแยกฝูงลงมาใช้ปืนกลยิงกราด ปืนของกองทัพเรือจึงยิงตอบโต้ หมุนยิงกันสักสองรอบก็ผละไป (ภายหลังทราบว่าประชาชน แถวท่าเตียนบาดเจ็บหลายคน เรือดําน้ําสองลําคือ ร.ล.สินสมุทร กับ ร.ล.พลายชุมพล ผูกเทียบอยู่ด้านใต้ของท่าราชวรดิษฐ์ถูกระสุนบริเวณดาดฟ้า หัวกระสุนขนาด ๕๐ เข้าไปตกในพระบรมมหาราชวังด้วย) ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้บ้านักบิน ที-๓๘ นั้นมันยิ่งเอาสวรรค์วิมานอะไร ฝูงบิน บี-๒๔ วนกลับมา คราวนี้บินในแนวเส้นกลางสนามหลวง ปล่อยร่มมีวัตถุทรงกระบอกผูกติดลงมานับจํานวนได้ ๓๐ ร่ม เกือบทั้งหมดตกลงในพื้นที่สนามหลวง นับว่าฝีมือพลทิ้งระเบิดดีมาก สองสามร่มเท่านั้นหลุดไปตกแถวสะพานผ่านพิภพลีลา ราวกับนัดกันทหารจากกองพลที่ ๑ เป็นผู้เข้าไปเก็บร่มและเจ้าถังทรงกระบอก ลําเลียงขึ้นรถบรรทุกนําเข้าไปในกระทรวงกลาโหมอย่างเรียบร้อย จํานวน ๒๙ ชุด ขาดไป ๑ เพราะญี่ปุ่นมาเก็บไปจากเชิงสะพานผ่านพิภพฯ ก็แปลกอีกละครับที่เมื่อมีสัญญาณภัยทางอากาศ ก็มีนายทหารจํานวน หนึ่งไปหลบภัยอยู่แถวต้นมะขามริมสนามหลวง หยั่งกะรู้ว่าจะมีรายการพิเศษน่ะ
ถังโลหะที่ลงมากับร่มมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๖๐ ซม. ยาว ๑๘๐ ซม. สมัยใหม่นี่ต้องเรียกว่าแคปซูล ไม่งั้นเชยแหลก สิ่งที่บรรจุมาเป็นยาและเวชภัณฑ์ที่เราขาดแคลนแสนสาหัส นอกจากของที่ว่าก็มีวัสดุกันกระเทือนกันแตกที่อัดบรรจุมา เป็นของแปลกใหม่มากในขณะนั้น คือเป็นหลอดพลาสติกใสขนาดเดียวกับหลอดกาแฟอย่างยาว แต่บีบอัดอากาศไว้เป็นปล้อง ๆ วันนั้นสัมพันธมิตรโปรยใบปลิวชี้แจงเรื่องส่งยามาช่วยเหลือด้วย ยืนยันด้านมนุษยธรรมและว่าถ้าไม่เชื่อในความบริสุทธิ์ใจ ขอให้นํายาทั้งหมดไปวิเคราะห์ก่อนนําออกใช้ ฝ่ายญี่ปุ่นนั้นตูมตามโฆษณาชวนเชื่อออกมาทันควันว่า ยาที่ลงมากับร่มเป็นยาพิษทั้งนั้น ขอราษฎรไทยอย่าได้นําไปใช้ อันตราย กรณีทิ้งร่มเวชภัณฑ์ลงกลางสนามหลวง ทําให้ญี่ปุ่นปวดกระดองใจนักหนา ทําอะไรไม่ได้อ่อนล้าเต็มที่แล้ว หลังจากการส่งเวชภัณฑ์ทางอากาศเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๔๘๘ การโจมตียังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โปรยใบปลิวมากขึ้น ชักชวนให้ชาวไทยต่อต้านญี่ปุ่นหนักขึ้น พร้อมกับแจ้งข่าวความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นตามเกาะต่าง ๆ ในแปซิฟิก ใบปลิวใช้กระดาษปอนด์พิมพ์หมึกสีน้ําเงินกับสีแดง ญี่ปุ่นแถลงปฏิเสธพัลวันทุกครั้ง ในความเป็นจริงแล้วญี่ปุ่นกําลังเข้ามุมอับ กองทัพที่เคยเกรียงไกรกลายเป็นอ่อนเปลี้ยกระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ชนิดเอื้อมมือไม่ถึงกันเสียแล้ว เรื่องชัยชนะเลิกคิดได้ เหลือเพียงทําอย่างไรจึงจะพยุงตัวอยู่ได้นานเท่านั้น ต้องขอลําดับเหตุการณ์ท่อนนี้สักหน่อย วันที่ ๑๐ กรกฎาคม เวลา ๑๒.๓๐ น. สัมพันธมิตรยังตั้งหน้าตั้งตาเล่นงานย่านรถไฟยศเสจนเสียหายหนัก ตลาดยศเสกับโรงเรียนเทพศิรินทร์ก็พังเลยไปถึงย่านโรงเลี้ยงเด็ก และบริเวณวัดสามง่าม ความจริงโรงไฟฟ้าก็พังแล้ว สะพานพระราม๖ กับย่านบางซื่อก็พังแล้ว หัวลําโพงหมดความสําคัญ แต่ซีแอคก็ยังบ้าอยู่อย่างเดิม

วันที่ ๒๖ กรกฎาคม สัมพันธมิตรประกาศที่เมืองปอดสดัมให้ญี่ปุ่นยอมแพ้โดยปราศจากเงื่อนไข แสดงว่าญี่ปุ่นไปไม่ได้ไกลแล้วซึ่งสัมพันธมิตรรู้ดี แต่วันที่ ๒๙ กรกฎาคม เวลา ๑๒.๓๐ น. อีกน่ะแหละ กลับมาเล่นงานย่านรถไฟบางกอกน้อยยับเยิน ทั้งที่หมดความจําเป็น อย่างไรก็ดีหลังจากสัญญาณปลอดภัยในวันนั้น ก็เป็นอันสิ้นสุด ของเสียง “หวอ” ที่ทําให้ต้องวิ่งหัวซุกหัวซุนตลอดไป เพราะในวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๘๘ สหรัฐฯ เล่นของหนัก นําเอาระเบิดปรมาณูไปทิ้งใส่เมืองฮิโรชิม่า วันที่ ๙ เอาไปโยนใส่เมืองนางาซากิอีกลูก ทั้งสอง คราวคนตายไปถึง ๒๕๐,๐๐๐ คน

วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๘๘ ญี่ปุ่นยอมแพ้ต่อสัมพันธมิตร

วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๘๘ ประกาศพระบรมราชโองการสันติภาพในสงครามมหาเอเชียบูรพา

ไม่มีเสียงไชโยครั้งใดจะดังกึกก้องทั่วแผ่นดินไทยเท่าครั้งนั้น

ญี่ปุ่นแพ้ ไปเข้าค่ายเชลยแทนฝรั่ง ก็จบแล้วซิครับ

ยกสุดท้าย - ฒ. ผู้เฒ่า

หนังสือต่วย'ตูน เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ ปีีที่ ๒๔ เล่มที่ ๑๒

Exit mobile version